หากท่านใดเมื่ออ่านบทความนี้เสร็จแล้วก็ยังงงว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ขอแนะนำให้ไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของ Digital Asset และเทคนิคในการเขียนโค้ดเพื่อที่พอจะมีพื้นฐานเพิ่มเติม พอจะรับรู้ได้ว่าทุกอย่างในบทความนี้ นั้นมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน และหลายปัจจัยพื้นฐานนั้นมันได้เกิดขึ้นและกำลัง On Process เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอแนะนำคอร์สเรียนออนไลน์ให้ได้ศึกษาเพิ่มเติมดังนี้ 1. เรียนเขียน Smart Contract ภาษา Solidity [ราคา 399 บาท]
2. Ethereum Developer Zero to Hero [ราคา 12,000 บาท]
3. Bitcoin & Digital Asset 101: ปูพื้นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ขุมทรัพย์แห่งอนาคต [ราคา 1,990 บาท]
4. การซื้อขายในตลาดเงินดิจิทัล และรู้จักเทคโนโลยีบล็อกเชน [ราคา 1,590 บาท]
5. CDC Mastering Elliott Wave & Fibonacci [ราคา 7,000 บาท]
6. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเขียน JavaScript Framework [ราคา 900 บาท]
7. หนังสือ BlockChain for Government Services [ฟรี]

คุณรู้ยังว่าการทำ StableCoin ในยุคปัจจุบันนี้ ไม่จำเป็นต้องเอาเงินของรัฐบาลมาค้ำประกันแล้ว สามารถใช้ ETH มาทำการล็อก แล้วก็มิ้นต์เหรียญ StableCoin ออกมาใช้ได้เลย และเหรียญ StableCoin นั้นก็สามารถรักษามูลค่าของมันไว้เท่ากับ $1 ได้อย่างดีเยี่ยม เหรียญ StableCoin ที่ทำงานแบบนี้และโดดเด่นที่สุดก็น่าจะเป็นเหรียญ DAI นะครับ
Multi-Collateral DAI คืออะไร ?
https://coinmarketcap.com/currencies/multi-collateral-dai/
เมื่อดูคลิปด้านบนเสร็จแล้ว คุณจะเห็นได้ว่าระบบการทำงานของเหรียญ DAI นี่มันเจ๋งจริง สร้างเงินที่มีมูลค่าเท่ากับ $1 USD และสามารถรักษามูลค่าได้อย่างดีเยี่ยม โดยไม่ต้องเอาเงิน USD ที่ถูกควบคุมโดยธนาคารกลางสหรัฐ หรือ กลต. มายุ่งเกี่ยวกับการทำงานของระบบ อันนี้หละที่มันเจ๋งมากๆ
แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งก็คือ เหรียญ DAI นั้นทำงานอยู่บนบล็อกเชนของ Ethereum เวลาทำการโอนเงินก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในรูปแบบของ ETH ด้วย นั้นหมายความว่าถ้าคุณจะใช้งาน DAI StableCoin คุณก็จะต้องมีเหรียญ ETH ติดกระเป๋าไว้ด้วยเพื่อเอาไว้จ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ซึ่งมันก็สามารถสร้างความหงุดหงิดในการใช้งานพอสมควร
แต่ข้อเสียนี้ถูกแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยระบบที่ชื่อว่า xDAI Chain ที่จะทำให้การโอนและการแลกเปลี่ยนเหรียญ DAI โดยจ่ายค่าธรรมเนียมให้ระบบเป็น เหรียญ DAI นั้นเอง เท่านี้เราก็ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดเวลาใช้งานแล้ว แถมค่าธรรมเนียมก็น้อยกว่าจ่ายเป็น ETH หลายร้อยเท่า (ณ ตอนนี้) (ค่าธรรมเนียมในการโอนเหรียญ DAI บน xDAI Chain นั้นมีมูลค่าครั้งละไม่ถึง 1 สตางค์เสียด้วยซ้ำเมื่อเทียบเป็นเงินไทยบาท จะโอน 1 แสนล้าน DAI ก็เสียค่าธรรมเนียมไม่ถึง 1 สตางค์ จะเห็นได้ว่าจากพฤติกรรมการใช้เงินของผู้คนโดยทั่วไป คุณโอน DAI ทั้งปี ก็เสียค่าธรรมเนียมให้กับระบบน้อยกว่าค่าธรรมเนียมรายปี ของบัตร ATM ในระบบการเงินรูปแบบเก่า)
แถม xDAI Chain ก็มีระบบแลกเปลี่ยนเงินแบบ DEX ด้วยชื่อว่า Honeyswap ที่จะทำให้คุณสามารถแลกเปลี่ยนเหรียญต่างๆได้เหมือนกันกับ Uniswap บน Ethereum (xDAI Chain และ Honeyswap กำลังเป็นที่นิยม เพราะเสียค่าธรรมเนียมในการทำ transaction น้อยกว่า uniswap ที่อยู่บน Ethereum หลายร้อยเท่า)
[ระบบ xDAI Chain เป็นบล็อกเชนที่ออกแบบมาให้เป็นเลเยอร์ 2 ของ Ethereum ดังนั้นจึงสามารถทำการโอนเหรียญต่างๆที่อยู่บน Ethereum Chain ข้ามมายัง xDAI Chain ได้แบบง่ายๆ]
การสร้างบล็อกเชนเลเยอร์ 2 บน Ethereum แบบ xDAI Chain
ความจริงก็สามารถออกแบบให้เป็น Privacy ก็ได้เหมือนกันนะครับ
คือ สมมุติว่า ผมจะออกแบบ บล็อกเชนเลเยอร์ 2 บน Ethereum
ที่มีความเป็น Privacy ขึ้นมาอีกสักตัวหนึ่งชื่อว่า THBsc Chain ก็แล้วกัน
sc ตัวเล็ก ย่อมาจาก StableCoin (แค่ชื่อเฉยๆไม่มีอะไรมาก)
หมายความว่า THBsc Chain ที่ผมสร้างขึ้น
เวลามีคนมาใช้งาน ก็จะไม่มีใครสามารถติดตามเส้นทางธุรกรรมทางการเงินได้
ง่ายๆครับ ไม่มีใครตรวจสอบเส้นทางการเงินใน THBsc Privacy Chain ได้
แล้วถ้าผมออกแบบให้ THBsc Chain
มีตัว DIFI ที่สามารถมิ้นต์เหรียญ THBsc ที่มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท
โดยสามารถใช้เหรียญ ETH และ DAI มาเป็นตัวค้ำประกันได้ด้วย
ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินบาทของรัฐบาลไทยมาค้ำประกันใช่ไหมครับ
สิ่งนี้หละครับที่มันคือนวัตกรรมทางการเงินแห่งยุคสมัยใหม่ที่ชื่อว่า DEFI
ที่สำคัญคือ THBsc Chain ผมสามารถสร้างอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้
ไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศไทยเสมอไป
ประมาณว่าผมสร้างระบบที่ทำให้ทุกๆคนบนโลกในนี้
สามารถเข้ามาสร้างเงินบาทโดยไม่ต้องทำให้ส่วนไหนของระบบเชื่อมต่อหรือมีพันธะอะไรกับอำนาจหรือกฏหมายใดๆ ในประเทศไทยเลยก็ได้
แถมอีกอย่างก็คือความเป็น Privacy นั้นแปลว่า จะไม่มีอำนาจใดหรือกฏหมายฉบับไหนในประเทศไทยหรือโลกในใบนี้ ที่จะสามารถเข้ามาติดตามธุรกรรมของคนที่เข้ามาอยู่ใน THBsc Chain ได้
และไม่มีใครสามารถทำให้ระบบ THBsc Chain ที่ผมสร้างขึ้นหยุดทำงานได้
เหมือนกันกับที่ยังไม่มีใครหรืออำนาจใดบนโลกใบนี้สามารถหยุดยั้งเครือข่ายของ Ethereum และ Bitcoin ได้นั้นเอง
ไม่ต้องทำ KYC หมายถึงคุณไม่จำเป็นต้องบอกระบบว่าคุณเป็นใครถึงจะเข้าใช้งานระบบได้
อันนี้หละเจ๋งสุดๆ เพราะมันคือเสรีภาพบนโลกการเงินอย่างแท้จริง
คำถาม ทำใมต้องทำให้ระบบให้ยุ่งยากขนาดนี้ก็ในเมื่อคุณก็ใช้ Bitcoin ได้อยู่แล้ว
คำตอบ เพราะการตั้งราคาสินค้าในประเทศไทย ตั้งเป็นเงินบาท ดังนั้นการใช้ THBsc Coin ที่มีมูลค่าเท่ากับเงินบาท จะทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่ากันมาก เพราะเวลาซื้อขายก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาดูอัตราและเปลี่ยน และเวลาเก็บ THBsc Coin ไว้อุ่นใจได้ว่ามันคงที่เท่ากับเงินบาทอยู่ตลอดเวลา และไม่ต้องหวาดเสียวหงุดหงิดใจเวลาราคา Bitcoin ขึ้นลง
ความจริงในเชิงเทนนิค ในการโอน THBsc Coin เราก็สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมเป็น THBsc Coin บนบล็อกเชนของ Ethereum ได้เหมือนกันนะ เพียงแค่โปรแกรมระบบที่มีชื่อว่า Fee Pool Auto Exchange ใส่ไว้ใน Ecosystem ด้วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า ต่อไปเราอาจจะเห็น
1. คนอเมริกาใช้เงิน USDsc (DAI) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. อเมริกา ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
2. คนไทยใช้เงิน THBsc (บาท) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. ไทย ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
3. คนจีนใช้เงิน CNYsc (หยวน) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. จีน ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
4. คนยุโรปใช้เงิน EURsc (ยูโร) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. ยุโรป ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
5. คนญี่ปุ่นใช้เงิน YPYsc (เยน) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. ญี่ปุ่น ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
6. คนอังกฤษใช้เงิน GBPsc (ปอนด์) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. อังกฤษ ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
7. คนอินเดียใช้เงิน INRsc (รูปี) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. อินเดีย ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
8. คนรัสเซียใช้เงิน RUBsc (รูเบิล) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. รัสเซีย ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
9. คนเยอรมันใช้เงิน DEMsc (มาร์ค) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. เยอรมัน ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
10. คนลาวใช้เงิน LAKsc (กีบ) โดยรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. ลาว ไม่สามารถคุม Money Supply ได้แบบเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป
คือมันจะเกิดปรากฏการณ์ที่ว่านี้ในทุกๆประเทศทั่วทั้งโลก
และการแลกเปลี่ยนแลกเปลี่ยนเงินและการโอนเงินข้ามประเทศ
ก็ไม่จำเป็นต้องผ่านธนาคารกลางและธนาคารพานิชย์หรือบริษัทใดๆ
อีกต่อไปแล้ว
ระบบแบบนี้เริ่มจะมีคนทำแล้วนะครับ เพียงแต่มันยังไหม่ และยังไม่ค่อย Decentralized Autonomous Organization (DAO) จึงยังไม่ได้รับความนิยม แต่อนาคตจะมาทางนี้อย่างแน่นอน
https://docs.synthetix.io/tokens/list/
คำถาม อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อทุกๆรัฐบาล ของทุกประเทศบนโลกใบนี้ ไม่สามารถควบคุม Money Supply ที่ไหลอยู่ภายในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศตนเองได้อีกต่อไป ?
คำตอบ อำนาจของรัฐบาลในการควบคุมระบบเศรษฐกิจภายในของทุกประเทศ ก็จะลดน้อยลงจากทุกวันนี้ที่มี 100% ก็อาจจะลดลงเหลือไม่ถึง 10% เสียด้วยซ้ำ
อำนาจของรัฐบาลและธนาคารกลาง หรือ กลต. จะลดลงอย่างมากเมื่อ Ecosystem ระบบการเงินใหม่เสร็จสิ้น
หมายความว่า ประเทศหรือรัฐใดๆ ก็จะไม่สามารถควบคุม Money Supply ภายในได้ แล้วก็จะไม่สามารถควบคุมให้อำนาจการซื้อของคนชนบท ให้ต่ำกว่าอำนาจการซื้อของคนที่อยู่ใกล้ศูนย์กลางอำนาจได้อีกต่อไป ซึ่งจะตามมาด้วยไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าภายในประเทศได้ แล้วก็จะตามมาด้วยไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของคนและเสถียรภาพทางการเมืองภายในได้อีกต่อไป
พูดง่ายๆ ก็คือผู้ปกครองเก่าคนไหนกลุ่มใดที่ชอบกดหัวและชอบเอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน แปลว่าผู้ปกครองเหล่านั้น กำลังจะชะตาขาด ในเร็ววันนี้
และผู้ปกครองที่มี ทศพิธราชธรรม จริงๆ เท่านั้นที่จะสามารถอยู่ต่อไปได้ หมายถึง ต้องมีจิตใจเป็น ทศพิธราชธรรม จริงๆ และจะมาทำท่าทำทางหรือสร้างโฆษณาชวนเชื่อเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อไม่สามารถคอนโทรลอะไรได้อีกต่อไป ก็จะเหลือแค่ธรรมเท่านั้นที่จะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ส่วนผู้ปกครองคนใดที่ทำได้แค่ทำท่าทำทาง ก็จะได้แค่ท่าทางไว้อวดชาวบ้าน สุดท้ายก็จะชะตาขาดเหมือนเดิม
อยากอยู่ได้อยากอยู่รอดก็ต้องปรับตัว หยุดกดหัวและหยุดเอารัฐเอาเปรียบประชาชนในประเทศ นั้นหละสิ่งที่อำนาจไหนๆก็ทำได้น้อย (ในปัจจุบัน)
เมตตาพรหมวิหารธรรม ก็ต้องมีจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำท่าทาง หรือเป็นเพียงแค่การสร้างโฆษณาชวนเชื่อ
ทั้งนี้ก็เพราะเราสามารถถ่ายโอนความมั่งคั่งจากภายนอกประเทศ ส่งเข้าไปในประเทศเพื่อช่วยให้ผู้คนภายในประเทศสามารถปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่านสายตาของธนาคารกลางหรือรัฐบาลหรือ กลต. ของประเทศนั้นๆ เลยด้วยซ้ำ และแม้กระทั้งเจ้าสัวหรือผู้มีอันจะกินทั้งหลายก็สามารถทำการค้าระหว่างประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านธนาคารกลาง ที่มีอำนาจแฝงในประเทศควบคุมอยู่ หมายความว่า เจ้าสัวหรือผู้มีอันจะกิน ไม่จำเป็นต้องส่งส่วยเพื่อประจบประแจงอำนาจแฝงต่างๆในประเทศอีกต่อไป (พวกรัฐซ้อนรัฐเดิม)
หรือจะดูให้ดีๆ คิดให้รอบด้าน จะเห็นว่า มันเป็นกระบวนการรวบอำนาจ เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจแห่งใหม่ แต่อำนาจใหม่นี้จะมีเพียงอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้น ที่จะเป็นคนสร้างโลกใบใหม่ โลกแห่งยุคศิวิไลซ์
ซึ่งก็นั้นหละ มันก็ไม่น่าจะใช่คนที่เคยอยู่ในระบบอำนาจแบบเก่าๆ มีทัศนคติ ในจารีต และค่านิยม ของการใช้อำนาจแบบเก่าๆอย่างแน่นอน
คำถาม แล้วรัฐบาลและธนาคารกลางของแต่ละประเทศ เขาทำอะไรบ้างหรือยังหละ?
คำตอบ เริ่มแล้ว กำลังเริ่มจะออกกฏหมายมาควบคุม StableCoin กันแล้ว ดังจะเห็นได้เป็นข่าวอยู่เนืองๆ เช่น ข่าว 1. เจอโรม พาวเวล กล่าวว่า การดำเนินงานของเฟด เกี่ยวกับความเสี่ยงของ Stablecoin นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก 2. กฎโบราณ ของสหรัฐฯ จำเป็นต้องมีการอัปเดต เพื่ออนาคตของ DeFi : Brian Brooks จาก OCC กล่าว 3. สหภาพยุโรปต้องการที่จะกำกับและแบนเหรียญ Stablecoin 4. สหภาพยุโรป ให้คำมั่นว่าจะมีการควบคุมความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินกับ Stablecoin 5. ประธานธนาคารกลางยุโรป ECB ออกมาประกาศก้องว่า “Bitcoin เป็นเหรียญสำหรับการเก็งกำไรเท่านั้น เราจะต้องควบคุมมัน และยุโรปจะปล่อย Digital Euro ออกมาภายใน 5 ปีนี้ !
คำถาม แล้วการออกกฏหมายมาควบคุม StableCoin ของประเทศต่างๆจะประสบความสำเร็จในการควบคุมหรือไม่?
คำตอบ ไม่ จะไม่มีรัฐบาลใดสามารถคุม StableCoin ได้ เช่นเดียวกับ Ethereum และ Bitcoin ก็ไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้เบ็ดเสร็จคนเดียว
คำถาม ถ้ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ แล้วสิ่งที่รัฐบาลทำได้คืออะไรบ้าง?
คำตอบ มี 2 ทางให้เลือก 1) ก็ไม่ต้องควบคุม 2) ก็ตัดอินเตอร์เน็ต ทางเลือกที่ 2 มีความเป็นไปได้ในรรัฐบาลที่มีความเป็นเผด็จการสูง แต่การตัดอินเตอร์เน็ตก็จะทำให้ ประชาชน ลุกฮือขึ้นปลดแอกตัวเองโดยทันที "ซึ่งต่อไปการตัดอินเตอร์เน็ตก็จะทำได้ยากขึ้นทุกวันๆ เพราะเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตดาวเทียม มาแล้วเรียบร้อย"
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบการเงินของโลกยุคใหม่ จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนมือของอำนาจที่ใช้ควบคุมระบบเศรษฐกิจในทุกๆประเทศทั่วทั้งโลก
ระบบอำนาจควบคุมกิจกรรมทางระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ก็จะนำมาซึ่งการปรับตัวของแต่ละรัฐบาลโดยสภาพบังคับอยู่แล้ว รัฐบาลไหนหรืออำนาจใดปรับตัวเองทัน ก็อยู่รอด รัฐบาลไหนหรืออำนาจใดปรับตัวเองไม่ทัน ก็จะถูกคนอื่นปรับเปลี่ยนให้
หากรัฐบาลไหนดื้อแพ่งไม่ยอมรับระบบโลกใหม่ ประชาชนจะลุกฮือ และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศนั้นๆ ในที่สุด
เครือข่ายบล็อกเชนที่ทำงานแบบ POS ไม่มีอะไรทำลายได้นะครับ แม้ว่าสิ่งจะนั้นเป็นเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์ในอีก 2000 ปีข้างหน้าก็ตาม
เอาหละสิ่งนี้คือ Ecosystem ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างแน่นอน พวกเราอาจจะได้เห็นภาพชัดขึ้นก็ภายในปี 2021 นี้หละครับ
และที่จะตามหลังหลังจากปี 2021 ก็คือ อำนาจในการคอนโทรลระบบเศรษฐกิจภายในประเทศของรัฐบาลและธนาคารกลางแต่ละประเทศจะค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว อาจประมาณการได้ว่า ไม่เกิน 5 ปี น่าจะเหลือไม่ถึง 10% ส่วนอีกมากกว่า 90% หายไปไหนนั้น ผมไม่รู้ผมนอนนาดีกว่าครับ ไม่อยากจะจิตนาการต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมาอีกบ้าง
ดั้งนั้นไม่ต้องไปสนใจหรอกว่า
ใครกำลังรักษาอำนาจหรือใครกำลังแย่งอำนาจกับใครเพื่อที่จะขึ้นมาคอนโทรลระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ของแต่ละประเทศในสภาวะปัจจุบันนี้ (ต้นปี2021)
เพราะไม่ว่าใครจะรักษาอำนาจได้
หรือใครจะแย่งชิงขึ้นมามีอำนาจนี้ไปได้สำเร็จ
ในสภาพของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วนี้
พวกเขาทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายพยายามรักษาอำนาจ และฝ่ายที่กำลังขึ้นมาแย่งอำนาจ
ไม่ว่าใครจะขึ้นมาได้หรืออยู่ต่อไปได้
พวกเขาทั้งสองฝ่ายก็จะถูกลดอำนาจลงไปเรื่อยๆ
จนเหลือไม่ถึง 10% จากปัจจุบันนี้อยู่แล้ว
ต่อจากนี้เราลองมาถึงถึงการไหลมาของเงินของท่านผู้เฒ่าหลี่เหมยฮัวกันดีกว่า
น่าจะเป็นประโยชน์กับคนธรรมดาอย่างเราๆ มากกว่าและดีกว่าจะเอาจิตไปวุ่นวายกับฝูงลิงทั้งสองฝ่าย
ก็ในเมื่อมันมีข่าวมีการตั้งกองทุนจากเงินดอกเบี้ยของเงินก้อนใหญ่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรามาคิดต่อไปว่า เงินจะไหลมาแบบไหน
เรามาลองพิจารณาตามแนวคิดของผู้เขียนดูนะครับ
คนของท่านผู้เฒ่าหลี่เหมยฮัวที่อยู่ยังอีกฝั่งโลกหนึ่ง ก็น่าจะนำเงินที่ว่านี้ไปทำการเทรด Ethereum และ Bitcoin ให้ทั้งสองอย่างนี้ เพื่อให้มี marketcap รวมกันไม่น่าจะน้อยกว่า 100 ล้านล้าน USD (หรือ 100 ทีเลี่ยน USD) นั้นเอง
ระหว่างที่กำลังมีการสร้าง Ecosystem ระบบการเงินใหม่เพื่อให้เพียวพอที่จะใช้งานได้ เราก็น่าจะเห็นราคา Ethereum และ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จน marketcap ทั้งโลกรวมกันแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า100 ล้านล้าน USD (หรือ 100 ทีเลี่ยน USD) หรืออาจจะมากว่านี้ [ตอนนี้ Ethereum และ Bitcoin มี marketcap รวมกันเพียงแค่ 1 ล้านล้านUSD หากท่านผู้เฒ่าเลือกใช้วิธีการนี้จริง ราคา และ marketcap ของ Ethereum และ Bitcoin ก็จะเติบโตขึ้นได้อีกไม่ต่ำกว่า 100 เท่าจากปัจจุบัน (ต้นปี2021)] หรืออาจจะมากว่านี้ "CEO ของ MicroStrategy กล่าวราคา Bitcoin นั้นจะสามรถพุ่งจาก 100 เท่าเป็น 1,000 เท่าได้ในอนาคต"
ระยะเวลาในการสร้าง Ecosystem ภายในปี 2021 น่าจะได้เห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างชัดเจนแล้ว และน่าจะพร้อมใช้งานก็น่าจะภายในปี 2021 นี่หละครับ
เมื่อ Ecosystem และ marketcap พร้อมแล้ว สมมุติว่าจะส่งมาประเทศไทยเป็นเงิน THBsc ก็จะมีการดำเนินการนำ ETH ที่เทรดไว้ได้มาล็อกเพื่อมิ้นต์เหรียญ THBsc ออกมา แล้วก็ส่งเหรียญ THBsc จากบล็อกเชนของ Ethereum เข้ามาสู่ THBsc Chain จากนั้นให้คนของท่านผู้เฒ่าที่อยู่เมืองไทยก็กระจายเงินที่ว่านี้ตามระเบียบแบบแผนของแต่ละท่านไป
จะเห็นได้ว่าการส่งเงินในลักษณะนี้ไม่ต้องพึ่งพาระบบการเงินของภาครัฐและระบบธนาคารแบบเก่าแต่อย่างใด
ทุกคนที่ได้รับเหรียญ THBsc ก็สามารถใช้ได้ง่ายเเพราะมันเป็น StableCoin ที่มีค่าเท่ากับเงินบาท
หรือถ้าคุณอยากแลก THBsc ก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยน THBsc เป็น ETH แล้วก็ไปแลกเป็นเงินบาทธรรมดา กับ Exchange ที่มีอยู่หลายเจ้าในประเทศไทย เช่น Bitkub, Satang Pro, Zipmex หรือ OTC Market อื่นๆ แต่ความจริงคุณไม่ต้องแลกก็ได้ เพราะ THBsc มีค่าเท่ากับเงินบาทอยู่แล้ว และสามารถใช้ได้เลย เพียงแต่เริ่มต้นจะต้องแนะนำตัว THBsc ให้คนรู้จักกันเสียก่อน (คือ ช่วงแรกทุกคนก็คงอยากจะแลกเป็นเงินบาทธรรมดา แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทุกคนจะไม่อยากแลกเพราะคนทั่วไปเริ่มรับรู้และเข้าใจว่าผมใช้งานได้เหมือนกัน ทุกคนก็จะไม่ต้องเสียเวลาไปแลกเป็นเงินบาทธรรมดา)
การกระจายเงิน
การกระจายเงินถ้าเอาตามวัตถุประสงค์ของท่านผู้เฒ่าหลีเมยฮัว อาจจะอยู่ในรูปแบบของการสร้างเทวสถาน ท่านเคยดำริให้สร้างในลักษณคล้ายๆกับ ศาลาแก้วกู่ ที่หนองคาย เพิ่มเติมคือ ท่านให้สร้างปฏิมากรของนิทานโบราณของแต่ละท้องถิ่นไว้ด้วย เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่น
และเทวสถานก็ใช้เป็นที่อมรมปฏิบัติธรรม ไปด้วยในตัว
ที่สำคัญที่สุดคือ ให้เป็นที่สำหรับกระจายเงิน
ส่วนเครื่องมือในการกระจายเงินเราอาจจะใช้ แพลตฟอร์ม ที่มีลักษณะของ Government as a Service เป็นแพลตฟอร์มบล็อคเชนบริหารบุคคล คล้ายที่ประเทศเอสโตเนียกำลังทำอยู่ในขณะนี้
ส่วนใครที่อยากจะเข้าร่วมใช้แพลตฟอร์ม ก็ต้องเข้ามาร่วมกิจกรรมหรือมาร่วมงานกับเทวสถานในแต่ละที่ก่อน ประมาณนี้
เทวสถานตั้งอยู่ได้ทุกที่กระจายออกไปเป็นจุดๆ อยู่ได้ทั่วไป
อาจจะกระจายตัวไปในหลายประเทศ
ส่วนคณะผู้บริหารและพนักงานที่ทำงานในเทวสถาน
จะต้องมีคุณสมบัติ ที่ก้าวข้ามทัศนคติแบบทวินิยมได้แล้วเท่านั้น
ทัศนคติแบบทวินิยม เป็นแบบไหน
ของให้ท่านลองฟังนิทานเซ็นนี้ดูก็แล้วกัน
ส่วนกิจกรรมที่เทวสถานจะส่งเสริมในพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละเทวสถานนั้น ก็อาจจะเป็นไปตาม บทความ คาดการณ์ ไทม์ไลน์ การเคลื่อนเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์
เอวัง ก็ด้วยประการฉะนี้

ส่วนใครได้มอบความไว้วางใจจากท่านผู้เฒ่าหลี่เหมยฮัว ให้เป็นผู้ดำเนินการต่างๆตามที่กล่าวมานี้ คำตอบคือ ก็ขอให้คิดว่าเป็นแค่จินตนาการของคนๆหนึ่งก็แล้วกัน เพราะผมไม่รู้ ผมนอนนา
#stablecoin

และนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น
1. “ไทยบาทดิจิทัล” ถือกำเนิดขึ้นแล้วบน Terra Blockchain https://bitcoinaddict.org/2021/03/09/thai-baht-digital-is-already-on-terra-blockchain/
2. ทำความรู้จัก THT สเตเบิลคอยน์สกุลเงินบาทเหรียญแรกที่คนทั่วไปใช้งานได้ แต่กำลังถูก ‘แบงก์ชาติ’ จับตาดูใกล้ชิด https://thestandard.co/tht-introduction/
3. แบงก์ชาติไทยเริ่มให้ความรู้ประชาชนเรื่อง Stablecoin แล้ว หลังประกาศว่า THT ผิดกฎหมาย https://siamblockchain.com/2021/03/17/bank-of-thailand-is-now-educating-their-people-laew-na-ja/
4. 'ก.ล.ต.-แบงก์ชาติ' เตือนเหรียญ THT เข้าข่ายผิดกฎหมาย https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/927877
5. ธปท.ชี้ “เหรียญ THT” ผิดกฎหมาย ก.ล.ต.เตือนลงทุน
https://www.prachachat.net/finance/news-631530
6. “จะมีการนำ ‘ไทยบาทดิจิทัล (THT)’ มาใช้ ไม่ว่า ธปท. จะชอบหรือไม่ก็ตาม” Do Kwon ผู้ร่วมก่อตั้ง Terra กล่าว!!
https://bitcoinaddict.org/2021/03/18/tht-will-be-adopted-whether-bot-likes-it-or-not/
7. ผู้ร่วมก่อตั้ง Terra ทวิต ไม่กลัวธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไงก็จะออกเหรียญ THT
https://www.blognone.com/node/121755
และสิ่งเหล่านี้ กำลังจะออกตามมาอีกมากมายหลายยี่ห้อ