ธรรมะเชิงประวัติศาสตร์ นิยามของวัฏจักร การสร้างใหม่แล้วทุบทิ้ง เป็นวงกลมไปเรื่อยๆ
ความลำบากจริงๆไม่มีหรอก
ความสุขสบายจริงๆก็ไม่มีหรอก
ก็มีเพียงแค่ความไม่เข้าใจโลกเท่านั้นเอง
ที่ทำให้ต้องลำบาก..ใจ..
วัฏ แปลว่า วงกลม วัฏสงสาร แปลว่า วงกลมที่น่าสงสาร
ผู้ที่ตกอยู่ในวัฏสงสาร แปลว่า ผู้ที่ตกอยู่ในวงกลมที่น่าสงสาร คือวงกลมของการเป็นทาส ความรู้เท่าทันแล้วรู้จักวางอุเบกขาคือนิ่งเฉย เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการออกจากวงกลมของการเป็นทาส
ความร่ำรวยที่แท้จริง ไม่ได้หมายถึง การมีเงินมาก เพราะถึงรวยอย่างไร คุณก็ไม่มีทางรวยกว่าคนที่มีอำนาจในการพิมพ์เงินได้ อย่างแน่นอน ออกจากความโง่งมงาย ออกจากความหลงว่าตนเองฉลาด กับของพวกนี้ได้แล้ว
สติปัญญาที่รู้เท่าทันอาการของโลกธรรมที่เกิดแก่ตนต่างหาก ที่จะสามารถสร้างความร่ำรวยที่แท้จริงให้คุณได้ นั้นคือ อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่จะทำให้คุณสุขสบายข้ามภพข้ามชาติได้ รู้อย่างนี้แล้วก็พึงตัดสินใจ ลด ละ เลิก ความทะเยอทะยานอยาก ความเสียเวลา ความเกินพอดี ในสิ่งที่ไม่ได้นำพาความร่ำรวยที่แท้จริงมาให้คุณได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

เลี้ยงไข้สงครามไปเรื่อยๆ Julian Assangeจอมแฉแห่งวิกิลีคส์ พูดถูกต้องเลยทีเดียวในปี 2011 ว่าเป้าหมายของสงครามอัฟกันไม่ใช่เป็นการเอาชนะ แต่เป็นการเอาเงินภาษีของสหรัฐ และประเทศยุโรปไปใช้ในอัฟกานิสถาน แล้วผ่องถ่ายเงินนั้นเข้าประเป๋าของฝ่ายความมั่นคง+ทหารที่ดำรงอยู่เหนือประเทศใดๆ เป้าหมายไม่ได้เพื่อชัยชนะ แต่เพื่อการทำสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อพูดความจริง นายAssangeจึงกลายเป็นศัตรูของรัฐ กำลังถูกไต่ส่วนที่อังกฤษเพื่อส่งตัวไปดำเนินคดีในสหรัฐ ข้อหาเอาความลับของรัฐบาลสหรัฐไปเผยแพร่
ถ้าจะพูดตามเนื้อผ้าแล้ว สหรัฐไม่ได้แพ้สงครามอัฟกัน หรือไม่ได้ล้มเหลวในสงครามอัฟกัน เพราะว่ามีอาวุธ มีดาวเทียม มีเครื่องบินรบ มีโดรน หรือเทคโนโลยีการสงครามที่ทันสมัยกว่าอย่างเทียบไม่ได้กับพวกตอลิบัน จะฆ่าพวกตอลิบันให้หมดไปจากโลกนี้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่เป้าหมายของสงครามไม่ได้เพื่อชัยชนะ แต่เพื่อเลี้ยงไข้ ก่อสงครามไปเรื่อยๆที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อที่จะพัฒนาอาวุธต่างๆที่ต้องมีสมรภูมิให้ทดลอง และเพื่อเอาเงินภาษีมาแจกจ่ายฝ่ายทหารและความมั่นคงที่เป็นรัฐบาลเงา โดยมีสื่อ นักวิชาการ นักวิเคราะป์และนักการเมืองเป็นกองเชียร์ หรือพูดเป็นเสียงเดียวกัน เนื่องจากได้ผลประโยชน์ร่วมกัน
ผลก็คือสหรัฐใช้เงินภาษีประชาชน ความจริงกู้เงินมาใช้มากกว่าแล้วให้ธนาคารกลางซื้อหนี้ที่กู้เข้าพอร์ตเป็นเงิน$2.2ล้านล้านในสงคราม20ปี ที่ถูกสร้างภาพตลอดว่าเป็นสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ท้ังๆที่พวกตอลิบันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุการณ์911
ประเทศสหรัฐ หรือประชาชนคนอเมริกันมีแต่เสียกับเสีย แต่ทหาร สื่อ นักวิชาการ นักวิเคราะห์นักการเมืองมีแต่ได้กับได้กับสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ตอนนี้สหรัฐถอนทหารออกจากอัฟกันแล้ว เพราะว่าทำสงครามมานาน ตักตวงผลประโยชน์มามากเกินพอ และทำสงครามต่อไปจะได้ไม่คุ้มกับเสีย เพราะว่าต้องแบ่งทรัพยากรมาปิดล้อมจีนในภูมิภาคอินโดแปซิฟิคที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
เพื่อที่จะก่อสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ต้องมีการสร้างศัตรู ตอนนี้สหรัฐกำลังสร้างจีนและรัสเซียให้เป็นศัตรูที่ต้องใช้ทรัพยากรทางทหารเข้าไปจัดการเหมือนกับการสร้างฮิตเลอร์เพื่อก่อสงครามโลกคร้ังที่สองเพื่อทำลายเยอรมันนี และยุโรป
สร้างสังคมนิยมโซเวียตให้เป็นศัตรูเพื่อก่อสงครามเย็นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อแข่งกันสร้างอาวุธมหาประลัย
สร้างลัทธิโดมิโนของสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเวียดนามและทั่วโลกเพื่อเพิ่มงบประมาณทหาร และพัฒนาอาวุธ โดยไม่คำนึงถึงผลของชัยชนะ
สร้าง911เพื่อก่อสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในตะวันออกกลางเพื่อเพิ่มงบประมาณทางทหาร และพัฒนาอาวุธ ถล่มอัฟกานิสถาน อิรัคและลิเบียในนามของประชาธิปไตยและเสรีภาพจนประเทศเหล่านี้กลายเป็นรัฐล้มเหลว
สร้างลัทธิก่อการร้ายไอซิส อัลนุสรา อัล เคด้า พื่อหาเหตุเข้าไปทำสงครามในซีเรีย
สร้างภาพอิหร่านและเกาหลีเหนือให้เป็นภัยต่อโลก เพื่อที่จะดึงเอาประเทศต่างๆเข้ามาเป็นพันธะมิตรทางทหาร จะได้ใช้เงินงบประมาณทางทหารเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มmilitary industrial complexที่เปรียบเหมือนรัฐบาลเงา หรืออยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
ทางออกของโลกในเวลานี้คือความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่การสงครามที่ตอนนี้กำลังมีการปั่นในทะเลจีนใต้และไต้หวัน วาดภาพว่าจีนเป็นศัตรูของชาวเอเชีย ประเทศใดหลวมตัวเข้าไปให้ความร่วมมือในสงครามจะติดกับดักสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนที่อัฟกานิสถานติดกับดักรบกันเอง อาจจะทำให้สิ้นชาติได้ในที่สุด เรื่องนี้ลุงแก่ๆควรที่จะรับรู้ด้วย 2/9/2021 ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/388539969307327
การเคาท์ดาวน์ ครั้งสุดท้าย มาถึงแล้ว
ระบบเศรษฐกิจมันก็เป็นเพียง แชร์ลูกโซ่ ที่อายุยืนกว่า แชร์ลูกโซ่ แบบอื่นๆเฉยๆ
https://siam2020111999.wixsite.com/website/forum/khaawsaarenginbuy/rabbesrsthkicchmankepnephiiyng-aechrluukoch-thii-aayuyuuenkwaa-aechrluukoch-aebb-uuen-echy
และทองคำ ทองคำ ทองคำ ทองคำทรัพย์แผ่นดิน ตำนานหรือเรื่องจริง สิ่งที่รอให้กาลเวลาเป็นผู้พิสูจน์ https://siam2020111999.wixsite.com/website/forum/khaawsaarenginbuy/enginbuy-th-ngkhamthraphyaephndin-tamnaanhruue-eruue-ngcchring-singthiir-aihkaalewlaaepnphuuphisuucchn
ยุคศิวิไลซ์: คาดการณ์ ไทม์ไลน์ การเคลื่อนเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์
https://bit.ly/3kdiDiW
ความพอเพียง...ไม่ได้หมายความว่า .....ห้ามไม่ให้ร่ำรวย
โลกของ...ธรรม...เป็นเรื่องที่แปลกมาก เมื่อเราอยากได้.....ก็ไปผูกกับ..วิธีการ...ของการที่จะได้มา เงิน...หรือ...ทรัพย์สิน....เมื่อเราอยากได้ ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการที่ได้มา เมื่อการได้มา....ไม่อยู่บนพื้นฐานของ - ศีลธรรม - คุณธรรม - จริยธรรม สิ่งที่ได้มา...ก็จะมาแค่...ชั่วคราว หรือ...มาพร้อมกับปัญหา...ความร้อนรน การแตกแยก หรือ....สูญเสียไปมากกว่า....ก่อนที่จะได้รับมา
เมื่อครั้งหนึ่งที่ชีวิตเกือบล้มละลาย ก็ได้นั่งมอง...ภาพการทรงงาน...มากมาย ของพระเจ้าอยู่หัว ก็เกิด...วุฒิปัญญา...ขึ้นมาว่า "เราควรที่จะออกแบบชีวิตใหม่ คือ - การทำงานเพื่อที่จะได้....ให้...มากกว่า....ที่จะได้รับ - ให้โดยที่เวลา...มือขวา...ให้..ก็อย่าให้มือซ้ายรู้ - ดำเนินชีวิตเพื่อคนอื่น...มากกว่า...เพื่อตัวเอง"
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น คือ
- หลายสิ่งที่ได้รับมาก็มีแต่ความสงบสุขทางชีวิตและจิตใจ - ได้ให้....ในจำนวนที่มากขึ้นทุกๆปี
เพราะ...เมื่อเรามีความสามารถ....มาก...หรือ...น้อย เราไม่มีวันรู้...แต่...คนที่เข้ามาในชีวิต....จะบอกคุณเอง คนที่เข้ามาในชีวิต...จะให้คุณค่าแก่คุณเอง
เมื่อก่อนจะเริ่มมี...ปัญญา ให้ 20 บาท ก็ว่าเยอะมากแล้ว แต่...พอเริ่มมีปัญญา กลับสามารถ...ให้ได้มากขึ้น เช่น การนำเงินจากการทำงาน สอน ไปร่วม สร้างอาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา เพื่อผู้ป่วยอยากไร้ รพ. ศิริราช ที่บริจาคอย่างต่อเนื่องมากหลายปีจนสร้างเสร็จ
สิ่งสำคัญของความ....พอเพียง....คือ การคิดถึง...ตัวเอง...ให้น้อย....แต่...คิดถึงผู้อื่นให้เยอะกว่าตัวเอง เพราะ..เมื่อเรามีความสามารถมากขึ้น เราก็ได้มากขึ้น และ....เราก็สามารถ...ให้....ได้มากชึ้น
การให้..นอกจากทรัพย์สินเงินทอง ยังรวมถึง การให้ปัญญา....ความรู้ การให้...กำลังใจ การให้....ความปราถนาดี..ต่อกัน
ความพอเพียงคือ....การรู้จักพอในความต้องการที่ไม่สิ้นสุด..ของตัวเรา เพื่อ...ได้ให้...คนที่ขาดแคลนได้มากขึ้น
ทวีสุข ธรรมศักดิ์ ที่มา: https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=388817152605149&id=100044306025558
ทุกคนรู้ว่ายุคเก่ากำลังล่มสลาย ทองคำเท่านั้นที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่น ลดความหวาดระแวงทางการค้าซึ่งกันและกัน เพื่อการสร้างระบบการค้าของโลกยุคใหม่ขึ้นมาได้อย่างศิวิไลซ์ ทองคำเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบของการเริ่มต้นใหม่ เหมือนจะขัดแย้ง แต่ไม่ขัดขัดแย้ง เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้ง คือความร่วมมือกันเพื่อตามหาทองคำโบราณ ที่เคยมีอยู่ และตอนนี้ยังหาไม่เจอ
ทองคำ ทองคำ ทองคำ ทองคำทรัพย์แผ่นดิน ตำนานหรือเรื่องจริง สิ่งที่รอให้กาลเวลาเป็นผู้พิสูจน์ https://siam2020111999.wixsite.com/website/forum/khaawsaarenginbuy/enginbuy-th-ngkhamthraphyaephndin-tamnaanhruue-eruue-ngcchring-singthiir-aihkaalewlaaepnphuuphisuucchn
เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ สำหรับละครฉากใหญ่ที่กำลังจะเปิดการแสดง ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
ถ้าคุณต้องการเงิน
ความรู้ทางการเงินเท่านั้นที่จะทำให้คุณอยู่สุขสบายได้และจะไม่ต้องลำบากเพราะเงิน
คุณอยากมีเสนห์ มีเงินสิ แล้วคุณจะมีเสนห์ คุณอยากมีความรักที่ดี มีเงินสิ แล้วความรักของคุณจะดีเอง
คุณอยากเป็นคนที่มีชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ มีเงินสิ แล้วคุณจะสมหวัง
คุณอยากสบายกายสบายใจ มีเงินสิ แล้วคุณจะไม่ลำบาก คุณอยากมีสุขภาพที่ดี มีเงินสิ แล้วสุขภาพใจสุขภาพกายคุณจะดีเอง
คุณอยากมีเงิน
หาความรู้ทางการเงินมาใส่ตัวสิ
แล้วคุณจะมีเงินแบบคนมีเงิน ไม่ใช่มีเงินแล้วยังต้องลำบากแบบคนจนเหมือนเดิม
ความรู้ทางการเงินเท่านั้นที่จะสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้คุณได้อย่างแท้จริง
ยิ่งมีความรู้ทางการเงินมาก ความลำบากในการดำเนินชีวิตของคุณก็จะยิ่งลดน้อยลง
ความรู้ทางการเงินหาได้จากที่ไหน
ซื้อครับ ทุกวันนี้ยิ่งหาซื้อง่าย หาซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ก็ได้
ยอมเสียเวลาศึกษาสักหน่อย ดีกว่าการเป็นคนตาบอดคลำช้างไปตลอดชีวิต
ถ้าคุณมีความรู้ทางการเงินแล้ว
คุณจะได้รู้ว่า เราสามารถดำเนินชีวิตได้โดย
ไม่ต้องพึ่งหมอดู ไม่ต้องพึ่งมนต์ดำ ไม่ต้องพึ่งมนต์ขาว ไม่ต้องพึ่งคุณไสย์ ไม่ต้องพึ่งหมอธรรม ไม่ต้องพึ่งจองขมังเวทย์ ไม่ต้องพึ่งพระสงฆ์พวกอวิชชา ไม่ต้องพึ่งพระหาเงิน ไม่ต้องพึ่งโชคชะตา ไม่ต้องพึ่งคาถาอาคม ไม่ต้องพึ่งการท่องบ่นคาถาเงินแสนเงินล้าน ไม่ต้องพึ่งการสวดมนต์ขอเงินใดๆ ไม่ต้องพึ่งการสะเดาห์เคราะห์ ไม่ต้องพึ่งการเสริมดวง ไม่ต้องพึ่งฤาษีชีไพร ไม่ต้องพึ่งน้ำมนต์ ไม่ต้องพึ่งเครื่องรางของขลังแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่ต้องพึ่งพิธีกรรมงมงาย ไม่ต้องพึ่งร่างทรงองค์เจ้า ไม่ต้องพึ่งการยกขันธ์ครอบครู ไม่ต้องพึ่งการสักยันต์ ไม่ต้องพึ่งผ้ายันต์ ไม่ต้องพึ่งพระสงฆ์ที่มีคาถาอาคม ไม่ต้องพึ่งพระสงฆ์ที่ชอบสักยันต์ ไม่ต้องพึ่งพระสงฆ์ที่ชอบเขียนยันต์ ไม่ต้องพึ่งพระสงฆ์ที่ชอบอวดพิธีกรรมต่างๆ ไม่ต้องพึงเจ้าพิธีกรรมทุกสายพันธุ์ ไม่ต้องพึ่งเจ้าพิธีกรรมสปีชีส์ใดๆ(ที่ชอบอวดพีธีกรรมเพื่อหรอกเอาเงินชาวบ้าน) ไม่ต้องพึ่งผีสางนางไม้สปีชีส์ใดๆ ไม่ต้องพึ่งการบนบาลศาลกล่าว ไม่ต้องพึ่งการแก้บน ไม่ต้องพึ่งการรำบวงสรวง ไม่ต้องพึ่งการบวงสรวงใดๆ ไม่ต้องพึ่งวัตถุมงคล ไม่ต้องพึ่งอิทธิปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติใดๆ ไม่ต้องพึ่งการขอพรจากใคร ไม่ต้องพึ่งการรับพรจากใคร ไม่ต้องพึ่งการซื้อบุญ ไม่ต้องพึ่งการซื้อกรรม ไม่ต้องพึ่งหวย ไม่ต้องพึ่งการพนัน ไม่ต้องพึ่งการเสี่ยงโชคใดๆ ไม่ต้องพึ่งผู้มีบารมีคนใด ไม่ต้องพึ่งผู้วิเศษแบบไหนๆ ไม่ต้องพึ่งคนที่รวยกว่า ไม่ต้องพึ่งการแบมือขอเงินจากใคร ไม่ต้องพึ่งนักการเมืองท้องถิ่น ไม่ต้องพึ่งนักการเมืองระดับชาติ ไม่ต้องพึ่งนักการเมืองระดับใดๆ (เพราะไม่ว่าจะปกครองกันแบบไหนก็ตาม ระบบการเมืองการปกครองก็เป็นเพียงแค่ลูกน้องของระบบการเงิน และอำนาจการปกครองก็เป็นเพียงแค่ลูกน้องหรือเป็นแค่เพียงตัวแปรตามของอำนาจเกมการเงิน)
ไม่ต้องพึ่งอะไรเลยที่จะทำให้คุณต้องเสียเงินเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีความเป็นคนโดยไม่เกิดประโยชน์ โปรดจดจำไว้ให้ดีว่า คุณไม่จำเป็นต้องขอใคร ถ้าพูดถึงเรื่องการหาเงิน ไม่มีอะไรจะศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าภูมิปัญญาและความรู้ทางการเงินที่มีเป็นของตนเอง คุณต้องตระหนักรู้ให้ได้อย่างยิ่งว่า
อริยทรัพย์ที่เป็นเสบียงที่ข้ามภพข้ามภูมิได้
มันอยู่คนละเลเยอร์กับทรัพย์ภายนอก เช่น เงิน
และเงินไม่สามารถซื้ออริยทรัพย์ได้
แถมถ้าคุณไม่สามารถจำแนกแยกแยะบทบาทความสำคัญของทรัพย์ทั้งสองรูปแบบได้
แปลว่า..คุณจะเอาเงินไปปะปนกับสิ่งที่คุณเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวแห่งอริยทรัพย์
มันจะทำให้คุณสับสน..มืดแปดด้าน..และหาทางออกทั้งในทางโลกและทางธรรมไม่เจอ
แต่ถ้าคุณ..จำแนะแยกแยะ..แยกพิจารณา..ไม่เอามาปะปนกัน
ความเจริญรุ่งเรืองถึงจะก็จะเกิดแก่คุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเพียงแค่ต้องการเงิน ถ้าต้องพึ่งคนหรือของพวกนี้ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางด้านการเงิน มันกระจอกเกินไปสำหรับผู้มีความรู้ทางการเงิน
เพราะความรู้ทางการเงิน คือ วิธีและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
ถ้าคุณมีความรู้ทางการเงินที่เพียงพอ
คุณจะไม่มีความตื่นเต้นอะไรเลย
เมื่อได้เห็นปริมาณของเงินที่มีตัวเลขจำนวนเยอะๆ
ความรู้ทางการเงินเท่านั้นจะทำให้คุณพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง
โยนิโสมนสิการ
โปรดพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อที่จะได้เห็นว่า
"คนที่โง่ที่สุด" คือ คนที่ชอบเที่ยวโฆษณากับคนอื่นว่า "ตนเองนั้นรู้มากและฉลาดที่สุด"
ความรู้ด้านธรรมะและการเงิน มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์ตนเองและผู้อื่น ที่สำคัญ..ไม่ได้มีเอาไว้อวดอ้างว่าตนเองรู้มากหรือวิเศษกว่าใคร
พวกที่ชอบสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมด้วยการ
"อวดตัวเอง แล้วข่มคนอื่น" มันไม่ใช่วิถีของคนฉลาดเลย แต่มันคือวิถีของคนที่มีปมด้อยต่างหาก อารมณ์เดรัจฉาน สันดานหมาจอก (หมาจอก แปลว่า หมา + กระจอก)
วาติกัน ซิตี้ออฟลอนดอน และวอชิงตัน
เพราะทุกอย่างมันมีที่มาที่ไป มันไม่มีใครที่จะเสกอะไรขึ้นได้ในวันเดียวหรอกครับ
ระมัดระวังด้วยนะครับทุกคน เพราะยุคแห่งความสับสน พวกไก่ไม่ขันตะวันไม่ขึ้น มันเยอะอะครับ 55555.....
37. สหรัฐ Vs จีน : ใครพึ่งพาใคร (จบบริบูรณ์)
โลกจะเป็นอย่างไร หลังจากที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแทนกลุ่มแองโกลอเมริกันในอีก10ปีข้างหน้า หรือเร็วกว่านั้น จากการที่จีนมีการพัฒนาเศรษฐกิจ และระบบการค้าการผลิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมท้ังมีโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ที่จะเชื่อมโยงเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกันผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นที่จะตามมา โดยจีนจะร่วมมือกับรัสเซียในการสร้างGreater Eurasian Partnership ที่เป็นกรอบความร่วมมือของเขตยูเรเซียนภายใต้การนำของรัสเซียเพื่อเปลี่ยนให้ภูมิภาคนี้เป็นศูนย์กลางของโลกแทนอเมริกาเหนือ
จีนกับรัสเซียจะดูแลระเบียบโลกใหม่ที่เน้นการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สร้างความร่วมมือและการพัฒนาที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์แทนระเบียบโลกปัจจุบันของกลุ่มแองโกลอเมริกันที่ใช้เสรีนิยม ทุนนิยมเป็นฉากบังหน้าเพื่อสร้างความเหลื่อมล้ำ โดยความมั่งคั่งรวมท้ังอำนาจทั้งหมดตกอยู่ในมือของนายทุน0.01%
กลุ่มแองโกลอเมริกันร่วมมือกันก่อสงครามโลกคร้ังที่ 1-2 และก่อสงครามเย็นในเวลาต่อมาเพื่อทำลายจักรวรรดิที่เป็นคู่แข่ง หลังจากนั้นมีการดำเนินนโยบายแบ่งแยกและปกครองผ่านการส่งออกประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน และใช้ลัทธิทหารในการก่อสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นเพื่อเป้าหมายนิวเวิร์ลออร์เดอร์คือการเป็นเผด็จการโลก (World Dictatorship) ผ่านการสร้างรัฐบาลโลกเดียว เงินสกุลโลกเดียว และศาสนาโลกเดียว โดยที่ประชาชนส่วนมากไม่รู้เรื่องเนื่องจากถูกสื่อมอมเมาในระบบประชาธิปไตยที่จอมปลอมที่สร้างความแตกแยก และสิทธิเสรีภาพที่ไม่มีอยู่จริงเพราะติดกับดักระบบเงินตราของทุนนิยม มีการครอบงำระบบการศึกษาเพื่อเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ หรือใช้ฮอลลีวู๊ดสร้างภาพให้ตัวเองเป็นฮีโร่
ต่อไปเราจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นของระบบสังคมนิยมที่มีจีนเป็นผู้ผลักดัน โดยระบบสังคมนิยมจะมาแทนทุนนิยม/เสรีนิยมของกลุ่มแองโกลอเมริกันที่เสื่อมลง เพราะว่าไม่ได้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ดีกินดี
อำนาจทางทหารของสหรัฐที่ตกต่ำหลังพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เสียเครดิตอย่างกู่ไม่กลับในสงครามอัฟกานิสถานเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญทำให้เกิดการแบ่งขั้วอำนาจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ระหว่างตะวันตกและตะวันออก ประเทศต่างๆกำลังจับตามองว่าจะร่วมมือกับจีนและรัสเซียในการสร้างโลกใหม่ หรือว่าจะยึดติดอยู่กับระเบียบโลกเดิมที่สหรัฐมีสิทธิพิเศษเหนือประเทศใดในโลก (American Exceptionalism) แล้วถ้าหากร่วมหัวจมท้ายกับสหรัฐแล้วจะถูกสหรัฐทอดทิ้งเหมือนเวียดนาม และอัฟกานิสถานหรือไม่
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนจะเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสังคมนิยมของจีนก่อน เมื่อบรรลุผลจะกลายเป็นตัวอย่างให้ให้ประเทศอื่นเดินตาม สังคมนิยมคือการเอาผลประโยชน์ของสังคมหรือส่วนร่วมมาก่อน ในระบบสังคมนิยม ประชาชนมีจิตสาธารณะหรือมีจิตสำนึกร่วมกันในการทำให้ส่วนรวมดีขึ้น มีความเท่าเทียมกัน ความเหลื่อมล้ำในสังคมได้รับการแก้ไข โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ปกครองที่จะคอยดูแลกำกับให้เกิดความยุติธรรมในสังคม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ปกครองมีคุณธรรม จากการเฝ้าติดตามนโยบายหรือการกระทำของสี จิ้นผิงในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้นำที่มีคุณธรรม กล้าที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง คอรัปชั่นในประเทศ หรือกล้าที่จะปลดหรือโยกย้ายคนที่ไม่ดีออกจากตำแหน่งบริหาร เพื่อให้ส่วนรวมเดินหน้าได้
ส่วนทุนนิยมเสรีนิยมของโลกตะวันตกในปัจจุบันคือการถือผลประโยชน์ของนายทุนของวอลล์สตรีทและลอนดอนเป็นหลัก ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเรื่องของปลายน้ำที่แทบจะไม่เหลืออะไร มีอุบายในการให้ความสำคัญของความเป็นปัจเจกบุคคลที่สร้างแต่ความแตกแยก เพราะต่างต่างคิดว่าตัวเองมีสิทธิ หรือมองเห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง ไม่เห็นเงาหัวคนอื่น ทั้งๆที่ความมั่งคั่งเกือบทั้งหมด และอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือนายทุนหยิบมือเดียว ความเหลื่อมล้ำที่เป็นผลตามมาของระบบทุนนิยมทำให้สังคมหรือเศรษฐกิจไม่มีความยั่งยืน เพราะว่าเมื่อประชาชนไม่มีรายได้พอกับค่าใช้จ่าย เจอเงินเฟ้อจากทุนนิยมการเงินที่พิมพ์เงินให้กับนายทุนเอาเงินไปเก็งกำไรต่อ และรัฐบาลไม่สามารถซื้อเวลาดูแลประชาชนผ่านโครงการสวัสดิการสังคม เพราะว่าสร้างหนี้มากจนเกินตัว เมื่อนั้นจะเกิดปัญหาสังคมที่รุนแรง หรือเกิดการปฏิวัติตามมาเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุนนิยมเสรีนิยมจะสร้างสถานการณ์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาที่แท้จริงเสมอของการถูกนายทุนตักตวงผลประโยชน์จากกำไร ด้วยการสร้างความหวาดกลัวในรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ คิวบา สร้างความกลัวในลัทธิคอมมิวนิสต์ ก่อสงครามต่อต้านการก่อการร้าย สร้างความกลัวในไอซิส ก่อสงครามในดินแดนต่างๆทั่วโลก
สังคมนิยม vs เสรีนิยมเป็นอุดมการณ์มีการต่อสู้กันมาอย่างรุนแรงตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา โดยพวกอิลิทยุโรปสร้างลัทธิสังคมนิยม ทุนนิยม เผด็จการฟาสซิสต์ และประชาธิปไตยแล้วส่งออกไปยังประเทศต่างๆ หลังจากยุคปฏิรูป (Reformation) ที่เป็นขบวนการก่อหวอดเพื่อท้าทายหรือลดอำนาจของกษัตริย์ และขุนนางยุโรป และศาสนจักร ทำให้มีการสร้างศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสเต้นท์ เกิดสงครามศาสนา มีการปฏิวัติฝรั่งเศส และการล่มสลายของอาณาจักรต่างๆ ท่ามกลางการผงาด หรือการกะชับอำนาจของอังกฤษและสหรัฐในเวลาต่อมา
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและกลุ่มสังคมนิยมตะวันออก และ โดยทุนนิยมเป็นฝ่ายชนะในปี 1991 และสังคมนิยมที่ล้มเหลวในสมัยเหมา เจ๋อตุง ที่ล่มสลายเพราะว่าทำไม่เป็น หรือไม่เข้มแข็งเพียงพอทำให้ลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ถูกทุนนิยมการเงินของวอลล์สตรีทและลอนดอนแอบไฮแจ๊คอยู่เบื้องหลังผงาดขึ้นมา กลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง หรือวิถีของโลกทางการค้า เสรี เศรษฐกิจและการเงินไปโดยปริยาย โดยไม่มีการตั้งคำถามว่าผุ้ใดได้ประโยชน์สูงสุด ท้ังๆที่เมื่อรับเอาทุนนิยมเสรีนิยมประชาธิปไตยแล้วจะดูดีในระยะแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดปัญหาของวงจรอุบาทว์ของเศรษฐกิจ (boom & bust cycle)ที่ตามมา ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ มีหนี้สูงทั้งภาคเอกชน ครัวเรือน และภาครัฐทำให้ประเทศมีวิกฤติ
สี จิ้นผิงเอาสังคมนิยมเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาทุนของนายทุนเป็นตัวตั้งเหมือนระบบทุนนิยมเสรีนิยมที่ทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง โดยจีนเริ่มต้นในประเทศก่อนในการแก้ปัญหาความยากจนจนถึงขั้นติดลบ ผ่านการเปิดประเทศใหม่ การส่งออก การพัฒนาอุตสาหกรรม และการสร้างเทคโนโลยี ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของคนจีนดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเทียบกันไม่ได้
สี จิ้นผิงไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง ใครก็ตามที่ไม่เอาเงินเป็นตัวตั้งจะแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างไม่ยากเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระเบียบของระบบเศรษฐกิจภายในไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพวกบิ๊กเทค โรงเรียนกวดวิชา อสังหาฯ ธุรกิจเฮลท์แคร์ สินค้าอุปโภคบริโภคโดยไม่แคร์เรื่องตลาดหุ้น หรือต้องเกรงใจว่าไปเหยียบขาผู้ใดเพื่อสร้างความถูกต้อง ป้องกันการผูกขาด ปกป้องผู้บริโภค สกัดการค้ากำไรเกินควร หรือการมอมเมาประชาชน ทั้งนี้และทั้งนั้นเป็นความพยายามที่จะสร้างความสมดุลระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยมที่ถูกนำมาประยุกต์ตั้งแต่สมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง
อย่างไรเสียในระบบจีนสังคมนิยมจะขี่คอหรือกำหราบทุนนิยมให้อยู่กับร่องกับรอย เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม
พวกทุนนิยมจีนหรือมหาเศรษฐีจีนต้องปรับตัวเข้าหาสังคมนิยม สี จิ้นผิงเตรียมลงแส้พวกทุนนิยมที่ลืมตัว หรือที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้นในจีน โดยได้ส่งสัญญานแล้วว่า เมื่อรวยแล้วต้องรู้จักแบ่งปัน เป็นเจ้าของธุรกิจ เจ้าของกิจการเมื่อกิจการเจริญแล้วต้องดูแลค่าจ้างเงินเดือนสวัสดิการของคนงานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เงินหลายแสนล้านหยวนที่อยู่ในบัญชีเก็บเอาไว้ทำอะไร เป็นตัวเลขเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อันใด ทำอย่างไรถึงจะคืนความมั่งคั่งสู่สังคมเพื่อให้คนอื่นที่เก่งน้อยกว่า หรือด้อยโอกาสได้มีโอกาสที่ดีขึ้น
จากการพึ่งพาตัวเองด้านเทคโนโลยี ทำให้คนจีนได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่จะล้ำหน้ากว่าชาติใดๆในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง5จี ดาวเทียม ระบบชำระเงิน ปัญญาประดิษฐ์ อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง ระบบโอโตเมชั่น หุ่นยนต์ ควันตั้มคอมพิวเตอร์ ไบโอเทค รถไฟความเร็วสูง ดิจิตัลหยวน อันจะนำมาสู่บิ๊กดาต้าหรือข้อมูลทั้งหมดที่รัฐบาลดูแลและควบคุม ทำให้สามารถดำเนินนโยบายเครดิตทางสังคม (social credit score)ได้
ใครทำดี จะได้เครดิตทางสังคมสูงขึ้น ต่อไปมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับแรงจูงใจจากดิจิตัลหยวนที่จะถูกส่งเข้าบัญชีโดยตรงจากธนาคารกลางของจีน ส่วนคนที่ทำไม่ดี หรือทำเลว เครดิตทางสังคมจะลดลง การขอรับบริการจากรัฐบาลจะไม่ได้รับความอำนวยความสะดวก ถ้าคะแนนความดีทางสังคมแย่อาจจะซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ ขึ้นเครื่องบินไม่ได้ หรือเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ บิ๊กดาต้าที่เชื่อมโยงกับมือถือที่คนจีนมีติดตัวทุกคนทำให้ตรวจสอบได้หมดในการให้เครดิตทางสังคม ทำให้คนจีนที่คิดนอกกรอบ หรือคิดซิกแซกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องทำความดี ส่วนคนที่ดีอยู่แล้วก็จะได้ดีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จะบอกว่าเป็นเผด็จการสังคมนิยมก็ว่าได้ แต่ถ้าไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็งก็จะไม่สามารถบริหารคนได้ เมื่อคนทำความดีมากๆ ความเคยชิน และระบบไม่จำเป็นต้องตรวจสอบต่อไป เศรษฐกิจของการแบ่งปันของจีน และเทคโนโลยีจากอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่งที่อำนวยความสะดวก จะทำให้คนจีนมีจิตใจที่ก้าวร้าวน้อยลง จะเยือกเย็นขึ้น ผสมผสานกับการที่รัฐบาลเน้นการปลูกฝังเรื่องศีลธรรมคุณธรรม จะเห็นได้ว่าTikTokกำลังถูกใช้เป็นเรื่องมือในการทำวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกตัญญู การทำความดี การสร้างคุณธรรมและจริยธรรมที่เป็นรากฐานของสังคมที่ดีงาม ไม่เหมือนสังคมตะวันตกที่กำลังเผชิญกับความเสื่อมด้านจริยธรรมเนื่องจากทุกคนแข่งกับหาเงิน เอาเงินเป็นตัวตั้งเพื่อเข้าประโยชน์ตัวเอง
นั้นคือเส้นทางของจีนกำลังเดินเพื่อมุ่งสู่ความฝันของจีน (China Dream) เพื่อไปสู่สังคมของการกินดีอยู่ดี (moderately prosperous soceity)ที่กำลังเริ่มต้น ต้องใช้เวลาในการสร้าง ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน สี จิ้นผิงวาดฝันเอาไว้ เพื่อให้คนจีนส่วนใหญ่มีความมั่งคั่งพอๆกัน อาจจะไม่รวยมากในเรื่องของตัวเงิน ซึ่งต่อไปจะไม่มีความสำคัญ แต่มีความพอเพียง เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว คนเรามีครอบครัวที่มีความสุข มีที่อยู่อาศัย มีเสื้อผ้าใส่ มียารักษาโรค มีบริการสาธารณะที่ดี มีเทคโนโลยีที่สะดวกสบาย ก็คงไม่คิดสร้างกิเลสเพิ่ม แต่จะหาทางพัฒนาจิตใจให้ดีงาม
เราเริ่มเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเมื่อจีนรวยขึ้น สี จิ้นผิงได้มีการดำเนินนโยบายของเศรษฐกิจของการให้ (the economics of giving) จีนให้เงินช่วยเหลือในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศแอฟริกา ทำให้การเป็นอยู่ของชาวแอฟริกันดีขึ้น ต่างจากชาติตะวันตกที่กดขี่ชาวแอฟริกา เอาดินแดนเขาเป็นของตัวเอง และปล้นทรัพยากรธรรมชาติซึ่งๆหน้า ทำให้แอฟริกากลายเป็นดินแดนกาฬทวีปที่ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของความอยากไร้ขาดแคลน แน่นอนจีนก็ต้องการทรัพยากรธรรมชาติจากแอฟริกาเหมือนกัน เพื่อแลกกับเงินที่หว่านลงไป แต่มันเป็นไปในลักษณะของความร่วมมือที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เมื่อแอฟริกามีเศรษฐกิจที่โตขึ้น ประชาชนมีการเป็นอยู่ดีขึ้น มีกำลังซื้อจะกลายเป็นฐานของการส่งออกของจีนในอนาคตในระยะยาว
สีประกาศแนวทางวาระโลกใหม่แล้วว่า โลกเราในยุคใหม่ต้องมุ่งหน้าไปสู่ประชาคมที่มีอาคตร่วมกัน (community of shared future) มีความเท่าเทียมกัน มีความร่วมมือกัน พัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาโลกไปด้วยกัน มีความเคารพซึ่งกันและกัน สร้างสันติภาพ ให้โลกปลอดภัยจากสงครามทั้งปวง
http://www.chinatoday.com.cn/ctenglish/2018/commentaries/202101/t20210128_800234170.html ภาพจะชัดเจนมากยิ่งขึ้นในกรณ๊ของอัฟกานิสถานที่จีนจะเอาเงินไปช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจเพื่อให้อัฟกานิสถานกลับมาฟื้นตัว ในขณะที่สหรัฐเอาแต่ก่อสงครามตลอดระยะเวลา20ปีที่ผ่านมาโดยอ้างเรื่องก่อการร้ายอย่างเดียว และทำให้อัฟกานิสถานล่มจม
สหรัฐแพ้สงครามอัฟกานิสถานเท่ากับแพ้เกมกระดานหมากรุกทั้งโลก  สี จิ้นผิงจะได้รับอิทธิพลทางความคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และในเรื่อง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ที่ไปคู่กับการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมในสังคม การไม่เอารัดเอาเปรียบ การไม่เบียดเบียนของในหลวงรัชกาลที่ 9ของไทยมากน้อยเพียงใดไม่ทราบ แต่ผู้นำโลกทุกคนต่างก็ดูในหลวงของเราเป็นตัวอย่างของทศพิธราชธรรม ที่ทุกคนรัก เคารพและนับถืออย่างจริงใจ แม้ว่าจะไม่กล้าพูดออกมาเต็มปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำที่ต้องการถูกจารึกว่าเป็นรัฐบุรุษจะต้องเดินตามแนวทางของรัชกาลที่9วางเอาไว้เป็นมรดกสำหรับคนไทย และของโลก
ถ้าจะให้คาดคะเน สีต้องเรียนรู้ปรัชญาของการปกครองของในหลวงรัชกาลที่ 9อย่างลึกซึ้ง ซึ่งพระองค์ทิ้งไว้ให้เป็นมรดกที่ยังทำให้เป็นความจริงไม่ได้ เนื่องจากอิทธิพลของเสรีนิยมทุนนิยมที่ครอบงำโดยมหาอำนาจตะวันตกที่ครองโลกมาเป็นเวลาหลายร้อยปี มีแต่จีน หรือรัสเซียที่มีอาวุธนิวเคลียร์ และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเท่านั้นที่จะล้มระบบเก่า และช่วยทำให้สังคมนิยมกลับคืนมาสู่โลก ควบคู่ไปกับการใช้ปรัชญาของความพอเพียงของในหลวงให้เป็นจริง หลังจากนั้นทุกฝ่าย รวมท้ังประเทศไทยจะได้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะว่าจะถึงเวลาที่ทุกคนจะได้กินดีอยู่ดีกันจริงๆในวาระโลกใหม่โดยไม่ต้องแก่งแย่งกัน หลังจากหลงอยู่ในความมืด ความโลภ ความหลง ความไม่รู้แจ้งมานาน
คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งลุงแก่ๆเหมือนไก่ได้พลอย มีสิ่งที่ดีที่สุดในโลกในมือ แต่กลับมองไม่เห็น ท้ังๆที่ศูนย์กลางของนิวเวิร์ลออร์เดอร์แท้ที่จริงแล้วอยู่ที่ประเทศไทยที่เป็นแดนพุทธภูมิ หรือต้นแบบของสังคมของยุคพระศรีอริย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
20/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/380331000128224
รวยแล้วต้องรู้จักแบ่งปัน บริษัทบิ๊กเทคของจีนเริ่มทะยอยประกาศโครงการรวยด้วยกัน (common prosperity) โดยจะตั้งโครงการหรือกองทุนเพื่อช่วยเหลือสังคมด้านต่างๆ เพื่อช่วยคนจีนที่ด้อยโอกาสให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ หลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ออกมาเรียกร้องให้มหาเศรษฐีจีนแบ่งปันความมั่งคั่งให้กับสังคม
สีเรียกร้องหรือสีออกคำสั่งกันแน่เรื่องการแบ่งปันไม่สำคัญ แต่ผู้บริหารของบริษัทบิ๊กเทคต่างรีบประกาศนโยบายช่วยเหลือสังคมเพื่อสนองสีอย่างว่านอนสอนง่าย
มาดูกันว่าบริษัทบิ๊คเทคมีการประกาศนโยบายช่วยเหลือสังคมอะไรกันบ้าง -- อาลีบาบาจะตั้งงบ100,000ล้านหยวน (US$15.5 billion)เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมกันในจีน โดยจะทะยอยใช้เงินให้หมดก่อนปี2025 ผ่านการโปรโหมทการลงทุนในเทคโนโลยี ช่วยสนับสนุนบริษัทขนาดเล็ก ช่วยพัฒนาชนบท ช่วยบริษัทขนาดเล็กขยายกิจการไปต่างประเทศ จ้่างงานให้เสริมรายได้พิเศษสำหรับผู้ไม่ได้ทำงานประจำ รวมท้ังคนส่งของหรือคนขับรถ -- นายChen Lei ประธานและซีอีโอของบริษัทอีคอมเมิร์ส Pinduoduoบอกว่า บริษัทจะตั้งงบ10,000ล้านหยวน(US$1.5 billion)เพื่อสนับสนุนโครงการด้านการเกษตรเพื่อช่วยคนชนบทที่มีรายได้ต่ำกว่าคนเมือง3เท่า -- Tencent Holdings ประกาศตั้งกองทุนearmarked another US$7,700ล้าน เพื่อช่วยคนมีรายได้น้อย ให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพ สนับสนุนการพัฒนาของชนบท และการศึกษาของชาวบ้านชนบท -- Geely บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ จะแจกหุ้น1.67ล้านให้กับพนักงาน10,884คน
https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3147185/chinas-big-tech-answers-xis-call-common-prosperity-tencent-meituan สี จิ้นผิงกำลังจัดระเบียบทุนนิยมในระบบสังคมนิยมจีน เพื่อให้ทุนนั้นทำงานให้สังคม ไม่ใช่ทำงานให้นายทุนอย่างเดียว ในระบบทุนนิยม ความมั่งคั่งตกอยู่กับผู้ถือหุ้น หรือนายทุน ซึ่งไม่ได้จ่ายภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยที่สังคมโดยรวมที่เป็นลูกจ้าง หรือผู้ที่ขายแรงงานไม่ได้ประโยชน์อย่างสมน้ำสมเนื้อ ทำให้เกิดความเหลื่อมล่้ำ นายทุนยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่สังคมส่วนรวมเสื่อมลง กลายเป็นภาระด้านการคลังของรัฐบาลที่ต้องเข้ามาดูแล ทำให้เกิดหนี้ของประเทศจนแบกรับไม่ไหว เกิดความตึงเครียดทางสังคม การเมืองและการเงิน
ที่ผ่านมาจีนใช้ทุนนิยมช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทของรัฐบาลกรุยทางไปก่อนในการพัฒนาประเทศ แต่ระบอบการปกครองของจีนคือสังคมนิยม ที่คำนึงถึงสังคมโดยรวม ในทางปฏิบัติ ทุนนิยมจีนไปเร็วไปไกล เนื่องจากจีนเป็นโรงงานของโลก และเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้เกิดธุรกิจต่างๆที่ต่อยอดเกิดขึ้นมาในตลาดจีนที่มีประชากร1,400ล้านคน รัฐบาลจีนมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มที่ ทำให้ธุรกิจมีความเจริญรุ่งเรือง มีนายทุนเกิดใหม่ขึ้นมามากมายเหมือนดอกเห็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาเศรษฐกิจระดับพันล้านหมื่นล่้านเหรียญ เมื่อนายทุนจีนมุ่งแสวงหากำไรอย่างเดียว และร่ำรวยขึ้นมาอาจจะลืมนึกถึงบทบาทของตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม หรือทำธุรกิจในลักษณะที่ผูกขาด ไม่โปร่งใส เอาเปรียบคู่แข่งหรือไม่คำนึงถึงส่วนรวม
ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไป สังคมจีนจะเกิดความเหลื่อมล้ำเหมือนทุนนิยมสหรัฐที่มีมหาเศรษฐี1% แต่คอนโทรลทรัพย์สิน80%ของประเทศ ทำให้รัฐบาลอเมริกันต้องก่องบประมาณขาดดุลมหาศาลในแต่ละปีเพื่อดูแลประชาชนส่วนใหญ่ ทำให้การพัฒนาประเทศไม่ยั่งยืน ต่อไปจะเกิดวิกฤติหนี้
ประธานาธิบดีสหรัฐที่มาจากประชาธิปไตยสั่งบิ๊กเทค หรือพวกทุนนิยมไม่ได้ แต่สี จิ้นผิงที่พรรคคอมฯเลือกเข้ามาบริหารประเทศสั่งบิ๊กเทคและพวกทุนนิยมได้ ทำให้เกิดการจัดระเบียบในเซ็คเตอร์ต่างๆของเศรษฐกิจในเวลานี้ ไล่ตั้งแต่เทคโนโลยี โรงเรียนกวดวิชา อสังหาฯ เฮลท์แคร์ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการประกอบธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมามุ่งแสวงหากำไรและการเจริญเติบโตโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นแต่อย่างใด
วาระที่ตามมาคือให้บริษัทที่มั่งคั่งหรือเศรษฐีที่ร่ำรวยเกินไป เอาเงินมาลงทุนให้กับสังคม เพราะการมีเงินมากเกินไปอยู่ในธนาคารไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้ใช้อะไร สู้เอาส่วนหนึ่งมาช่วยสังคมจะดีกว่า ในสังคมนิยมจีนจะเอาสังคมมาก่อน ไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง
แน่นอน ผู้ที่ทำธุรกิจทุนนิยมรุ่นใหม่จะไม่มีสำนึกด้านสังคมหรือว่าไม่ได้มองภาพรวมของประเทศว่าต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ เพราะว่าไม่ได้โตมาเหมือนพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีการปลูกฝังอุดมการณ์
เมื่อไม่มีสำนึก สี จิ้นผิงจึงต้องใช้การสร้างจิตสำนึกภาคบังคับ ถ้าสี จิ้นผิงไม่รวบอำนาจในจีนจะไม่สามารถทำเรื่องใหญ่เรื่องนี้ที่ประเทศต่างๆในโลกทำไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครในโลกต้านทุนนิยมได้ คงต้องจับตาดูต่อไปในมาตรการจีนในการกระจายรายได้ เพราะว่าจีนตอนนี้มีชนชั้นกลาง400ล้านคน เป้าหมายของสี จิ้นผิงต้องการเพิ่มชนช้ันกลางเป็นเท่าตัวเป็น800ล้านคน ซึ่งเป็นนโยบายกระจายรายได้ที่ถูก เพราะว่าเมื่อมีชนชั้นกลางหรือมีคนมีเงินมากขึ้น คนจีนจะกลายเป็นผู้บริโภค ทำให้เศรษฐกิจภายในขับเคลื่อนได้ ในทางตรงข้าม ถ้าหากความมั่งคั่งอยู่ในมือนายทุน หรือบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเดียว ชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่างปากกัดตีนถีบมีแต่หนี้ ในท้ายที่สุดจะไม่มีผู้บริโภค แล้วบริษัทหรือนายทุนก็จะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
ตลาดเงินตลาดทุนมองมาตรการ" common prosperity"ของสี จิ้นผิงในเชิงลบ เพราะกลัวว่าบริษัทจีนจะกำไรหด ผู้ถือหุ้นจะเสียประโยชน์ ผูกขาดไม่ได้ หรือต้องทำตามกฎเกณฑ์มากขึ้น โดยไม่มองภาพรวมในระยะยาวว่า ถ้าการจัดระเบียบทุนนิยมและสังคมนิยมให้มีความสมดุล เศรษฐกิจภายในจีนจะมีความเข็มแข็งขึ้น การเติบโตจะมีความยั่งยืนในระยะยาว เพราะว่าประชาชนกินดีอยู่ดีขึ้นจะมีอำนาจซื้อมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยรวมให้กับระบบเศรษฐกิจ
สี จิ้นผิงทำอะไรในเรื่องนี้ ลุงแก่ๆก็ควรดูเป็นตัวอย่างทำตาม ประเทศไทยจะดีขึ้นทันตาเห็น ไม่ใช่ทำตัวเป็นลูกไล่ของนายทุน 4/9/2021 ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/389904172504240
36. สหรัฐ Vs จีน : ใครพึ่งพาใคร ในระบบทุนนิยม/เสรีนิยม เวลาเอาเงินไปลงทุนแล้วต้องได้กำไร%เป็นตัวเลขสองหลักต่อปี ในขณะที่คนงานจะต้องถูกกดค่าแรงตลอด ทุกคร้ังที่มีแรงกดดันให้ค่าแรงต้องเพิ่มขึ้น เพราะว่าคนงานสู้ค่าครองชีพไม่ไหว จะมีพวกนักเศรษฐศาสตร์ดาหน้าออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่าแรงงานที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ การขึ้นค่าแรงขั้นต่จึงเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะว่าทำให้เกิดเงินเฟ้อที่เลว
ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเศรษฐกิจดี เครดิตปล่อยกู้ง่าย สภาพคล่องสูง จะทำให้เกิดเงินเฟ้อเหมือนกัน แต่เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นเงินเฟ้อที่ดี เพราะว่าธุรกิจมีการซื้อง่ายขายคล่อง
นี่คือวาทะกรรมฝังชิปที่ใช้ได้ผลมาเป็นเวลานาน เพื่อจะทำให้นายทุน หรือพวกอิลิทอเมริกันสามารถโอนถ่ายรายได้$50ล้านล้านที่แรงงานอเมริกันควรที่จะได้รับในช่วงเวลา40กว่าปี หรือระหว่างปีคศ 1978ถึง2018 ทำให้คนรวย0.01%ของประชากรอเมริกันรวยล้นฟ้า และคนรวย10%ของประชากรเป็นเจ้าของเงินทุนCapital มากถึง90%ของระบบ
ตัวเลขที่น่าตกใจนี้ได้มาจากรายงานของ RAND Corporation ที่มีชื่อว่าแนวโน้มของรายได้ระหว่างปี 1975-2018 (Trends in Income From 1975 to 2018.) RAND Corporationเป็นองค์กรที่ไม่ธรรมดา เพราะว่าได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพนตากอนที่ว่าจ้างให้ทำงานวิจัยในหัวข้อต่างๆ การที่คนรวย1%ถ่ายโอนเงิน$50ล้านล้านของคนระดับล่าง90%ที่ควรจะได้จากการขายเวลาขายแรงงานทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ไม่มีความมั่นคง
รายได้ของแรงงานอเมริกันที่แทบจะไม่ขึ้นเลยในรอบ40กว่าปีที่ผ่านมาหลังหักเงินเฟ้อถูกมองว่าเกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาระบบอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์มาใช้ในขบวนการผลิต รวมท้ังเรื่องของโลกาภิวัฒน์ของเศรษฐกิจที่ไร้พรมแดน วาทะกรรมที่อยู่ในกระแสหลักของธุรกิจอ้างว่า การกดค่าแรงของคนงานให้ต่ำจะช่วยทำให้บริษัทอมริกันมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่แข่งขันกันอย่างเชือดเฉือน
ค่าแรงงานของคนอเมริกันที่ควรจะขึ้นแต่ไม่ได้ขึ้นทำให้เกิดการโอนถ่ายความมั่งคั่งไปยังนายทุน$50ล้านล้านในช่วงระยะเวลา40กว่าปีดังกล่าว โดยที่ไม่มีปัจจัยภายจอกของการค้าระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง มันเป็นเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศล้วนๆ
นโยบายเอื้อนายทุนและกดหัวแรงงานนี้เป็นนโยบายใช้กันมาตั้งแต่ปี 1975 หรือหลังจากการยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ ทำให้ธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินโดยไม่ต้องสำรองทองคำ ซึ่งส่งผลให้ระบบเครดิตเติบโตอย่างรวดเร็ว และทำให้ตลาดหุ้นเฟื่องฟู พร้อมกับเงินเฟ้อที่ตามมาจากปรากฎการณ์ของการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ
คนรวยอเมริกันที่อยู่ฐานบน10% เป็นเจ้าของ97%ของรายได้จากเงินทุนทั้งหมดของประเทศ ครึ่งหนึ่งของรายได้ที่เกิดขึ้นหลังวิกฤติทางการเงินในปี 2008ไปอยู่ในบัญชีธนาคารของคนรวย1%ของประชากร คนรวยอเมริกัน3%มีความมั่งคั่งมากกว่าคนอเมริกัน160ล้านคนรวมกัน
ถ้าจะว่าไปแล้ว คนอเมริกัน90%ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรมากในระบบเศรษฐกิจที่นายทุนตักตวงผลกำไรไปเกือบหมดทำให้กลายเป็นคนขายแรงงานเท่านั้น และไม่ได้มีปากมีเสียงอะไรในทางการเมือง ในขณะที่คนรวยมีความมั่งคั่งรวมกัน$121ล้านล้าน
ความเหลื่อมล้ำที่มหาศาลในระบบเศรษฐกิจสหรัฐจะคงอยู่ได้นานแค่ไหนก่อนที่ปัญหาสังคมและการเมืองจะตามมา คนรุ่นใหม่อาจจะไม่เต็มใจที่จะไปทำงานขายแรงงานเพื่อที่จะได้$7.25ต่อชั่วโมง ในขณะที่ภาคธุรกิจออกข่าวว่าในยุคเทคโนโลยีจะมีการนำเอาระบบโอโตเมชั่น หรือหุ้นยนต์เข้ามาแทนแรงงานคน จะได้ประหยัดต้นทุนมากยิ่งขึ้น แต่ในความเป็นจริงระบบโอโตเมชั่นจะทำงานแทนคนได้มากน้อยเพียงใด ในขณะที่คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการขายแรงงาน แต่หาเลี้ยงลำไพ่ตัวเองด้วยการค้าขายออนไลน์ หรือทำธุรกิจเอง หรือเทรดหุ้น เงินคริปโตออนไลน์ทำให้สหรัฐขาดแคลนแรงงานในเวลานี้ หรืออาจต้องจ่ายค่าแรงที่สูงขึ้นเพื่อจ้างงานให้ได้จากเศรษฐกิจที่ค่อนข้างร้อนแรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลัง
https://charleshughsmith.blogspot.com/2021/07/the-50-trillion-plundered-from-workers.html
ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม/เสรีนิยมที่สุดโต่งแบบนี้เป็นสิ่งที่จีนไม่ต้องการที่จะเห็น ตลอดระยะเวลา30ปีที่ผ่านมา แรงงานจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น4 เท่าในขณะที่แรงงานอเมริกันหยุดอยู่กับที่หลังหักเงินเฟ้อ แสดงว่ามีการแบ่งปันความมั่งคั่งระหว่างเจ้าของกับคนงาน ในขณะที่ในสหรัฐไม่มีการแบ่งปันเนื่องจากนายทุนเป็นใหญ่ในระบบ ความท้าทายของระบบสังคมนิยมแบบลักษณะเฉพาะของจีนว่าจะทำอย่างไรแรงงานจีนจะได้รับค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อไปตลอดเพื่อที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งร่วมกันของสังคมในระบบสังคมนิยมที่ยั่งยืน ไม่มีความเหลื่อมล้ำ หรือมีแต่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ 19/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/379979723496685
35. สหรัฐ Vs จีน: ใครพึ่งพาใคร เราจะรู้ว่าจีนจะเป็นผู้นำโลกอย่างไร เราต้องอ่านใจว่าผู้นำจีนมีแนวความคิดอย่างไร ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นผู้นำจีนรุ่นที่ 5 และเป็นนักสังคมนิยมที่เอาประเทศชาติมาก่อนอย่างแน่นอนไม่ใช่นักทุนนิยม/เสรีนิยม สีมีความเชื่อว่า คนเราเมื่อร่ำรวยขึ้นมาต้องรู้จักแบ่งปัน ไม่ใช่มือใครยาวสายได้สาวเอา เพื่อว่าสังคมส่วนรวมจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
สีเป็นผู้ที่มีความคิดความอ่านที่ลึกซึ้ง มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมองไปข้างหน้า50ปี จนถึง100ปี กล้าตัดสินใจ กล้าลงดาบในการปราบปรามคอรัปชั่น หรือจัดการกับกลุ่มผลประโยชน์ในจีน ซึ่งแตกแถว หลงในอำนาจหรือฝักใฝ่ในทุนนิยมที่มีการผสมผสานในระบบเศรษฐกิจจีนมากเกินไป
การเมืองภายในจีนเองแม้จะมีปกครองด้วยระบบพรรคเดียว คือพรรคคอมมิวนิสต์แต่ไม่ได้หมายความว่าการเมืองจีนจะมีเอกภาพอย่างสมบูรณ์ คลื่นใต้น้ำหรือความขัดแย้งภายในก็มีมาก โดยมีมาตั้งแต่สมัยเหมา เจ๋อตง เพียงแต่คนนอกอาจจะมองไม่เห็น เพราะว่าไม่มีการรายงาน
แต่เราอาจจะมองได้ว่า การต่ออายุของสี จิ้นผิงในปี 2018ให้เป็นผู้นำเกินวาระ10ปี หรือเทอมละ5ปี รวม2ครั้งเป็นการรักษาฐานอำนาจของสีให้มั่นคง จะได้อยู่เหนือความขัดแย้งภายในเพื่อที่จะมุ่งสานต่องานใหญ่ในการสร้างจีนให้เข้มแข็งทุกด้านบนเส้นทางการเป็นมหาอำนาจของโลก เพื่อว่าต่อไปจีนจะต้องไม่ถูกลัทธิล่าอาณานิคมรังแกหรือเหยียบย่ำเหมือนในอดีต และคนจีนต้องอยู่ดีกินดี
การเปลี่ยนผู้นำหรือการม้ากลางศึกในขณะที่จีนกำลังมีความขัดแย้งกับสหรัฐอย่างรุนแรง และจำเป็นต้องมีการปฏิรูปภายในอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้เสียแรงเหวี่ยงโมเมนตั้ม เพราะว่าผู้นำคนใหม่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้งาน ในขณะเดียวกันผู้นำคนใหม่จะมีบารมี หรือศรัทธามากน้อยเพียงใดในแนวนโยบายสังคมนิยมที่เอาประโยชน์สุขของประชาชนมาก่อน เนื่องภายในจีนก็มีขั้วอำนาจที่รวยขึ้นอาจจะมีแนวความคิดที่เปลี่ยนไป เกิดความโลภ หรือหันมานิยมบูชาเงิน หรือมีใจโน้มเอียงไปกับเสรีนิยมของโลกตะวันตกที่คอยหาทางล้วงแซะจีนจากภายใน เหมือนกรณีของแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งบริษัทอาลีบาบาที่ออกนอกกรอบจนสีต้องจับเชือดไก่ให้ลิงดู
เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดที่ต้องอ่านใจสี จิ้นผิงคือ การไม่เอาเงินเป็นตัวตั้ง เหมือนกับกลุ่มแองโกลอเมริกันที่เอาทุนนิยมการเงินที่เอาเงินหรือกำไรเป็นตัวตั้ง หรือใช้ระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา และไม่มีการแบ่งปัน ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำคนรวยยิ่งรวยขึ้นคนจนยิ่งจนลง ส่วนชนชั้นกลางที่พอจะมีฐานะดีขึ้นจะเจอค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากเงินเฟ้อที่มากับทุนนิยมการเงิน ที่มีการเพิ่มปริมาณเงิน และเครดิตเข้าไปในระบบเกินความพอดี ทำให้ค่าเงินเสื่อม เกิดเงินเฟ้อ เมื่อเวลาผ่านไปชนชั้นกลางจะค่อยๆลดลงไปเป็นคนจนเนื่องจากสู้เงินเฟ้อไม่ไหว ยิ่งถ้าเจอวิกฤติเศรษฐกิจจะตกงาน ถ้ารัฐบาลไม่มีระบบสวัสดิการที่ดูแลทั่วถึง จะมีชีวิตแบบปากกัดตีนถีบแต่กลุ่มแองโกลอเมริกันจะใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อว่าทุนนิยมเสรีนิยมให้สิทธิเสรีภาพแก่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่เหมือนกับระบบสังคมนิยมเผด็จการที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพ เพื่อว่าคนจนจะติดกับดักมนต์ดำของเสรีภาพประชาธิปไตยจะได้ทำงานรับใช้คนรวยให้รวยขึ้นไปเรื่อยๆ
ในปี 2019 รายงานของFederal Reserve หรือธนาคารกลางของสหรัฐพบว่า ชนชั้นใช้แรงงานอเมริกัน หรือครอบครัวคนจน ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ครึ่งหนึ่งของประชากรของประเทศ มีความมั่งคั่งที่ลดลงเมื่อเทียบกับ20ปีที่แล้ว ในขณะที่พวกมหาเศรษฐีระดับซุปเปอร์ที่มีสัดส่วน1%ของประชากรได้เพิ่มความมั่งคั่งถึงเท่าตัวในช่วงหนึ่งอายุคน
Federal Reserveรายงานต่อไปว่า คนรวย1% หรือประมาณ1,2 00,000 ครอบครัวมีความมั่งคั่งรวมกัน$35ล้านล้าน ณ สิ้นเดือนมิถุนายนปี 2019 ความมั่งคั่งของคนรวย1%นี้มีสัดส่วน32%ของความมั่งคั่งทั้งหมดของ โดยเพิ่มจากสัดส่วน27%ในปี2009
เมื่อนับคนอเมริกันที่อยู่ฐานบน10% พบว่ามีความมั่งคั่งรวมกัน $74ล้านล้าน หรือเทียบเท่า69%ของความมั่งคั่งทั้งหมดของประเทศสหรัฐ ในขณะเดียวกัน คนจนที่สุดของอเมริกา ซึ่งมีอยู่ประมาณ60ล้านครอบครัวมีความมั่งคั่งรวมกันเพียง 2%ของความมั่งคั่งของประเทศหรือประมาณ $2ล้านล้าน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจาก$2.4ล้านล้านหลังหักเงินเฟ้อในปี1999
https://www.marketwatch.com/story/the-super-rich-elite-have-more-money-than-they-know-what-to-do-with-2019-10-28
ความเหลื่อมล้ำในอเมริกาจากทุนนิยมการเงินและเสรีนิยมแบบสุดขั้วจะทำให้เกิดปัญหาสังคมที่เรื้อรังเมื่อรัฐบาลหมดสายป่านในการดูแล ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรงที่จะตามมา แต่สื่อยังคงยกย่องมหาเศรษฐีสหรัฐที่รวยล้นฟ้าให้คนจนอเมริกันน้ำลายหกเล่น จะได้อยากรวยมั่งเหมือนบิล เกตส์ มาร์ซัคเกอร์เบิร์ค เจฟ เบซอส บอร์เรน บัฟเฟตส์ที่แต่ละคนมีความมั่งคั่งหลายแสนล้านเหรียญ ในขณะที่คนเมริกันส่วนใหญ่มีแต่หนี้
แต่ส่วนคนอเมริกันส่วนมากยังหลงเชื่อในAmerican Exceptionalismว่าสักวันหนึ่งตัวเองอาจจะมีโอกาสรวยเหมือนบิล เกตส์ก็ได้ ก็ได้แต่ฝันเหมือนคนเข้าบ่อนแล้วคิดว่าสักวันจะรวย เพราะว่าสหรัฐไม่มีระบบการกระจายรายได้อย่างยุติธรรม คนรวยหรือบริษัทยักษ์ใหญ่มีวิธีการเลี่ยงการจ่ายภาษี ครอบครัวคนจนอเมริกันที่ใช้แรงงานหนักจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นตราบเท่าที่วอลล์สตรีทยังคงมีอำนาจเหนือระบบการเมืองและการเงินของสหรัฐ
สี จิ้นผิงไม่อยากที่จะเดินไปในแนวทางของสังคมที่พัฒนาแล้วแต่มีความเหลื่อมล้ำสูง จีนไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำจากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด ทำให้จีนเวลานี้มีมหาเศรษฐีระดับพันล้านเหรียญมากอันดับต้นๆของโลก ในขณะเดียวกันจีนก็สามารถแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ระดับหนึ่งที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับคนจีนที่ติดลบสมัยเหมา หรือเกือบจะสิ้นชาติสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองของราชวงศ์ชิง
ล่าสุดสีมีการออกมาส่งสัญญานว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่คนจีนที่ร่ำรวยระดับเจ้าสัวทั้งหลายมีรายได้มากเกินไป และได้เวลาแล้วที่คนรวย หรือบริษัทที่ร่ำรวยจะแบ่งความมั่งมีกลับคืนมาสู่สังคม เนื่องจากเป้าหมายของจีนคือการเดินหน้าไปเพื่อให้คนจีนทุกคนมีการกินดีอยู่ดี หรือมีความมั่งคั่งร่วมกัน (common prosperity)ตามหลักสังคมนิยมที่เอาสังคมมาก่อน
รายงานของอาจารย์ Thomas Piketty แห่งParis School of Economics ระบุว่าความเหลื่อมล้ำของรายได้ของสังคมจีนเพิ่มขึ้นในระยะเวลา2-3ทศวรรษที่ผ่านมา โดยคนรวย10%ของประชากรทั้งหมดมีรายได้เทียบเป็น41%ของรายได้ประชาชาติในปี2015 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ27%ในปี1978
ในขณะเดียวกัน รายได้ของประชากรอีกครึ่งหนึ่งของประเทศมีส่วนแบ่งของรายได้ประชาชาติลดลงเหลือ15% เมื่อเทียบกับ27%ในปี1978.
ในปีนี้ รายได้ส่วนเกินที่เหลือจากการใช้จ่ายที่จำเป็นของผู้ที่อาศัยอยู่ในมหานครเซี่ยงได้อยู่ที่เฉลี่ย 7,058 หยวนต่อเดือน หรือ$1,091 ซึ่งสูงกว่ารายได้ส่วนเกินเฉลี่ย4,021หยวนต่อเดือนของคนจีนที่อยู่ในเมืองทั้งประเทศ หรือรายได้ส่วนเกินเฉลี่ย1,541หยวนต่อเดือน สำหรับคนจีนที่อยู่ในภาคชนบท
https://www.cnbc.com/2021/08/18/chinas-xi-emphasizes-common-prosperity-at-finance-economy-meeting.html
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าสีจะมีแผนการกระจายรายได้อย่างไร หรือเศรษฐีจีนจะแบ่งความมั่งมีคืนสู่สังคมอย่างไรจากการดำเนินนโยบายที่ผสมผสานระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยมที่ผ่านมา แต่เรื่องความคิดหรือมาตรการกระจายรายได้นี้จะไม่เกิดในสังคมเสรีนิยมที่บูชาเงิน ทั้งๆที่การมีเงิน หรือทรัพย์สินหลายพันล้านไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร มันเป็นเพียงตัวเลขในบัญชี เนื่องจากเศรษฐีไม่แตกต่างจากคนทั่วไปที่ข้าวได้วันละ3มื้อเท่ากัน อยู่บ้านได้คร้ังละ1หลัง ขับรถได้ครั้งละ 1คัน ทรัพย์สินมหาศาลที่ครอบครองเป็นส่วนเกิน (excess income, excess assets)ที่ไม่มีใครได้ประโยชน์แต่ถ้ามีการกระจายความมั่งคั่ง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นอย่างมีประสิทธิภาพหรือยุติธรรมในสังคมจะทำให้คนที่ด้อยโอกาสมีชีวิตทีดีขึ้น
ในระดับผู้นำจีนจะใช้คำว่าความมั่งคั่งร่วมกันมากขึ้น (common prosperity) เนื่องจากความมั่งคั่งไม่ได้หมายถึงความมั่งคั่งสำหรับคนส่วนน้อย หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องมีการกระจายความมั่งคั่งให้ทั่วถึง ในขณะที่สังคมของจีนมีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน จีนมีประชากร1,400ล้านคน ถ้าหากว่าพัฒนาไปแล้ว ความมั่งคั่งไปตกอยู่ในมือเจ้าสัวไม่กี่คนเหมือนอย่างที่วอลล์สตรีท หรือซิลิคอนแวลเลย์ที่ครอบงำความมั่งคั่งในสหรัฐในเวลานี้ จะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมอันจะนำไปสู่วงจรอุบาทว์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่วนอยู่ในอ่างเหมือนอย่างที่ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่
คำว่าระบอบการปกครองสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน (socialism with Chinese characteristics) ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนคิดขึ้นมาจึงมีความหมายที่ลึกซึ้ง และไม่ตายตัว เนื่องจากสังคมนิยมจีนที่เดินหน้ามาได้เจริญรุ่งเรืองในทุกวันนี้มีการใช้ทุนนิยมเข้ามาผสมผสาน เปิดโอกาสให้คนจีนตั้งบริษัททำธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ หรือขนาดระดับอินเตอรื ประเด็นคือจะสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นอย่างไร หรือไม่ปล่อยให้ทุนนิยมจ๋ากินรวบสังคมนิยม
บางขั้วอำนาจภายในของจีนโดยเฉพาะอย่างย่ิงที่เซี่ยงไฮ้อาจจะหลงระเริงไปกับทุนนิยมเพราะว่ามั่งคั่งขึ้นมามาก จนอาจจะลืมภาพรวมของสังคม หรือคนจีนส่วนใหญ่ของประเทศไป
ถ้าสี จิ้นผิงไม่รวบอำนาจอย่างเด็ดขาด จะไม่มีทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ อันนำไปสู่มาตรการของรัฐบาลจีนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่เข้าไปจัดระเบียบเศรษฐกิจ ธุรกิจบริษัทในกิจการต่างๆที่ครอบคลุมทั้งด้านอินเทอร์เน็ต บิ๊กเทค อสังหาริมทรัพย์ บริษัทกวดวิชา ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุปโภคบริโภค และเฮลท์แคร์ให้มีความโปร่งใสมากขึ้น ไม่ให้ผูกขาด ไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ให้ค้ากำไรเกินควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการศึกษากวดวิชา ต้องไม่มุ่งแสวงหากำไรเป็นเป้าหมาย บิ๊กดาต้าของบริษัทบิ๊คเทคต้องแชร์ให้รัฐดูแลด้วย ไม่ใช่เอกชน หรือต่างชาติเป็นเจ้าของ เพราะมันเกี่ยวขอ้งกับความมั่นคง
การจัดระเบียบเศรษฐกิจของสี จิ้นผิงทำให้ตลาดหุ้นจีนถูกเทขายหนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่านักลงทุนต่างชาติไม่ชอบการแทรกแซงของรัฐบาล แต่ถ้ารัฐบาลจีนไม่จัดระเบียบ โครงสร้างธุรกิจหรือเศรษฐกิจที่ผิดเพี้ยนไปยู่ในมือของนักบริหารที่มุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม หรือความมั่นคงจะก่อให้เกิดปัญหาที่ใหญ่หลวงตามมาจนแก้ไม่ได้ แต่เนื่องจากจีนไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้งจึงกล้าที่จะแก้ปัญหาใหญ่ๆ เมื่อสำเร็จแล้วเงินที่เสียวันนี้ จะได้มามากกว่าเดิมอย่างยั่งยืน
สี จิ้นผิงกำลังดำเนินนโยบายที่สำคัญที่สุดที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอยู่ในเวลานี้คือเรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในทุกสังคม จะทำอย่างไรที่จะโยกทรัพย์สินส่วนเกิน หรือความมั่งคั่งส่วนเกินของผู้ที่เหลือกินเหลือใช้เอามาทำประโยชน์ให้กับผู้ที่ด้อยโอกาสเพื่อว่าคนจีนจะได้มีความมั่งคั่งร่วมกัน จะเกลี่ยความมั่งคั่งของประเทศอย่างไร โดยที่แรงจูงใจ หรือเครื่องยนต์ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนยังคงเดินหน้าต่อไปได้ในการสร้างให้จีนเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21
ในบทต่อไปจะเป็นภาคสุดท้ายของซีรีส์นี้ เราจะวิเคราะห์ดูกันว่าสี จิ้นผิงจะเปลี่ยนแปลงจีนให้เป็นสังคมของการให้ที่แตกต่างจากสังคมของการกอบโกยของเสรีนิยมตะวันตกได้หรือไม่อย่างไร หรือสี จิ้นผิงจะเดินตามหลักเหมือนกับทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะเป็นการปฏิวัติระบอบการปกครองโลกที่หยุดยั้งความโลภของคนส่วนน้อยเพื่อช่วยให้สังคมส่วนใหญ่มีการกินดีอยู่ดีอย่างเสมอภาคกันจริงๆ ซึ่งถ้าทำได้สี จิ้นผิงจะกลายเป็นผู้นำจีนสมัยใหม่ หรือผู้นำโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ก็ว่าได้ 19/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/379749543519703
34. สหรัฐ Vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้จีนประสบความสำเร็จในการสร้างชาติใหม่มาจากผู้นำจีนในแต่ละยุคที่มีความเข้าใจในสภาวะความเป็นจริง แล้วกล้าที่จะจัดการกับความจริงนั้นโดยไม่หลีกเลี่ยง หรือปล่อยให้ดินพอกหางหมู ผิดถูกก็ว่ากันไปแต่คอยแก้ไขไปเรื่อยๆให้เข้าที่เข้าทาง
ในประวัติศาสตร์โลก เราไม่เคยเห็นประเทศใดสามารถระดมแรงงานของประชาชนเพื่อทำงานหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ(mobilisation of human resources for a defined task) อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว อันเห็นได้จากการสร้างระบบราง ถนนหนทาง สะพาน ตึกสูงอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆทั่วประเทศที่ทำแล้วเสร็จเหมือนกับการสร้างกำแพงเมืองจีน
ประชากรจำนวนมากของจีนถึง1,400ล้านคนจึงไม่ใช่ภาระของประเทศที่จะเลี้ยงดู แต่เป็นทรัพย์สินที่สำคัญ (human resource asset) ประเทศใดที่มีประชากรมากยิ่งจะมีพลังมากใจการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศ ลูกมากจะยากจนไม่น่าจะเป็นคำขวัญที่ถูกต้อง ถ้ามีการบริหารจัดการครอบครัว เศรษฐกิจและสังคมดีๆ การมีลูกมากจะเป็นพลังสร้างสรรค์ประเทศ
สหรัฐผลิตวิศวกรได้ปีละ70,000คน ส่วนจีนผลิตได้ 600,000คน อินเดียผลิตได้350,000 ยกตัวอย่างเล่นๆแฮ๊กเกอร์อเมริกันมือดีๆอาจจะมี100,000-200,000คน แต่จีนมี20ล้านคน แล้วจะเอาอะไรไปสู้ ตัวเลขนี้อาจจะเว่อร์หรือไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่มันสะท้อนความสำคัญของปริมาณที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ ยิ่งเติมคุณภาพเข้าไปในปริมาณของคนจีนที่หัวดี เรียนรู้ไวและขยันขันแข็งแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่ ทำไมจีนจึงมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอย่างที่เห็นกัน จนจีนใช้เวลาเพียง50ปี ในการไล่กวดทัน หรือแซงหน้าสหรัฐซึ่งเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้ โดยเริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบเท่านั้น
ล่าสุดการบริหารจัดการป้องกันและควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการระดมพลทุกฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูง ชั้นรองลงมา แพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานฝ่ายงานต่างๆเพื่อที่จะล็อคดาวน์พื้นที่ควบคุม กักคนเป็นล้าน มีระบบสอดส่องดูแล ตรวจวัดไข้วัดเชื้อโรค ผลิตวัคซีนออกมาทันควัน รวมท้ังมีระบบดูแลรักษาผู้ป่วยจากไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ตำรับยาแผนโบราณและแผนปัจจุบันผสมกัน ทำให้จีนมีคนติดโควิดน้อย และรักษาหายขาดได้ หรือเสียชีวิตน้อยที่สุดในโลกเมื่อเทียบสัดส่วนประชากร ส่วนอเมริกาหรือไทยแลนด์ค่อนข้างเละอย่างที่รู้กัน
คนจีนเป็นคนรักชาติ ไม่ต้องการให้ตัวเองด้อยกว่าชาติตะวันตก ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องการเห็นลูกหลานมีอนาคต คนจีนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาล พร้อมที่จะเดินตามแนวทางที่กำหนดด้วยจิตศรัทธา (faith) เมื่อมีความเชื่อมั่นในแนวทางที่ถูกต้องและมีศรัทธาหรือใจที่จะลงมือกระทำอย่างมุ่งมั่น ความสำเร็จจะไม่หนีไปไหน
คำว่าศรัทธามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การงานใดที่ไร้ซึ่งศรัทธาแล้วจะไปไม่รอด แม้ว่าจะมีความเชื่อหรือความคิดที่ถูกต้องก็ตาม
ยกตัวอย่างสดๆร้อนๆจากกรณีการล่มสลายของรัฐบาลอัฟกันในวันอาทิตย์ที่ 15สิงหาคมที่ผ่านมา สื่อต่างชาติ หรือนักวิเคราะห์ต่างชาติต่างพากันช็อค หรือแสดงอาการงุนงวยกับชัยชนะที่ง่ายดายของพวกตอลิบัน ทั้งๆที่มีจำนวนนักรบเพียง75,000นาย เทียบไม่ได้กับทหารของรัฐบาลอัฟกัน ที่มีจำนวน300,000นาย กองทัพตอลิบันเปรียบเหมือนนักรบซอมซ่อ หรือสังกัดพรรคยาจกในหนังสือกำลังภายในของจีน ต้องกินอยู่อย่างอดๆอยากตลอดระยะเวลาการรบที่ยาวนาน20ปี กินนอนหลบอยู่ในหลืบเขาในถ้ำ อาวุธก็ด้อยกว่าทหารอัฟกันที่ได้รับอาวุธยุโธปกรณ์ต่างๆที่ครบครันและทันสมัยจากสหรัฐ ทหารอัฟกันได้รับการฝึกทหารอย่างดี และมีเงินเดือนให้ กินสบาย แถมมีกองทัพสหรัฐ และนาโต้คอยช่วยทำการรบกับพวกตอลิบัน และเป็นที่ปรึกษา
ลุงโจ๋ ไบเดนถูกโจมตีหนักที่ปล่อยให้พวกตอลิบันยึดครองกรุงคาบูลได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีแรงต่อต้านเลยทั้งๆที่สหรัฐทำการรบในอัฟกานิสถานมาเป็นเวลา20ปี ทำให้ไม่ทันตั้งตัว ต้องอพยพคนอเมริกันออกจากกรุงคาบูลอย่างทุลักทุเลเหมือนตอนแพ้สงครามที่กรุงไซ่ง่อนในปี 1975 แต่ลุงโจ๋ก็พูดถูกที่บอกว่า เราไม่รู้ว่าจะจะรบเพื่อป้องกันอัฟกานิสถานไปทำไม ในเมื่อทหารของรัฐบาลอัฟกันขี้ขลาด และไม่มีใจจะสู้
และนี้คือประเด็นที่สำคัญที่สุด นักรบตอลิบันรบด้วยใจ ไม่เกรงกลัวความตายแม้แต่น้อยนิด โดยเชื่อว่าถ้าตายไปในสนามรบก็จะกลายเป็นวีระบุรุษไปอยู่กับพระเจ้า ส่วนทหารอัฟกันไม่มีใจที่จะรบ กลัวตาย ไม่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน รบด้วยเงิน พอเจอพวกนักรบตอลิบันต่างก็หนีทัพ ทิ้งอาวุธข้างหลังให้พวกตอลิบันเอาไปครอบครอง
ความนำเร็จในการเอาชนะสหรัฐ และทหารอัฟกันของพวกตอลิบันมาจากความเชื่อมั่นในภาระกิจในการกำจัดกองทัพต่างชาติให้หมดจากแผ่นดินอัฟกานิสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อว่าอัฟกานิสถานจะได้กลับมาใช้รูปแบบการปกครองแบบศาสนาอิสลามนำในการบริหารประเทศต่อๆ ความเชื่อมั่นมีอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีความศรัทธาควบคู่ไปด้วยเพื่อที่จะทำความเชื่อมั่นนั้นให้เป็นจริง มันเป็นความศรัทธาที่อยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง แต่ถูกหล่อหล่อมให้อยู่ในร่างกายและจิตใจของนักรบตอลิบันที่ผ่านการฝึกอบรมทุกคน
นักรบบางระจันของไทยที่รวมตัวกันต่อต้านกองทัพพม่าก็มีความเชื่อมั่นในลักษณะเดียวกัน และมีศรัทธาที่จะปกป้องชาติ บ้านเมืองและพระพุทธศาสนาจนกลายเป็นวีระบุรุษที่อยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยไปตลอดกาล
เมื่อพันปีมาแล้ว พวกนักรบครูเสดที่แบกสัญลักษณ์ไม้กางเขนทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน เดินทางฝ่าฝันอันตรายจากยุโรปเพื่อไปทำสงครามครูเสดCrusade Wars (คศ1095-1291)กับพวกพวกมุสลิมเพื่อแย่งชิงนครเยรูซาเลมก็ไปรบด้วยความเชื่อมั่น และพลังศรัทธาในภาระกิจที่เต็มเปี่ยมเหนือเหตุผลทั้งปวง ยอมหลั่งเลือดหรือยอมตายเพื่อเยรูซาเลม ดินแดนที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์
ค่านิยมของความรักชาติ และการมีศรัทธาที่จะทำภาระกิจที่ยิ่งใหญ่ให้ประเทศชาติแบบนี้เริ่มที่จะเจือจางในสังคมต่างๆที่เดินตามแนวทางตะวันตกที่เอาเงินเป็นตัวนำ รากเหง้าถูกทำลาย ค่านิยมโบราณถูกมองข้ามหรือถูกดูถูกดูแคลน สถาบันหลักถูกทำลาย
คนรุ่นใหม่ส่วนมากจะรักความสบาย ไม่ค่อยมีวินัย ไม่รู้จักการให้ หรือการเสียสละ ไม่มีศรัทธาในอะไรที่เป็นแก่นสาร แต่อยากรวยเร็ว เห็นเงินเป็นพระเจ้า ตามโลกตะวันตกที่ใช้เงินนำ เงินไม่มาผ้าไม่หลุด งานไม่เดิน ที่ผ่านมาเป็นมหาอำนาจโลกได้เพราะว่ามีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เร็วกว่า และมีเทคโนโลยีทางทหารที่เหนือกว่า แต่ในท้ายที่สุดอำนาจเงินจะไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง ไม่มีทางสู้ศรัทธาที่เต็มเปี่ยมของพลังมนุษย์ได้
จีนที่เจริญก้าวหน้าได้เพราะคนจีนมีความเชื่อมั่นในแนวทางพัฒนาประเทศ มีศรัทธาในผู้นำและหน้าที่การงาน และพร้อมที่จะทำงานให้ลุล่วงสำเร็จตามเวลาที่กำหนด จะเห็นได้ว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของจีนส่วนมากจะบรรลุผลตามตารางของเป้าหมาย เนื่องจากมีพลังศรัทธาร่วมในการเดินไปข้างหน้านั่นเอง
ในบทต่อไปจะเป็นบทสุดท้ายของซีรีส์ เราจะมาดูกันว่าจีนจะเป็นผู้นำโลกอย่างไร จะเอาเงินเป็นตั้วตั้ง? เมื่อหาเงินได้รวยแล้วจะต้องรู้จักให้หรือไม่? จีนจะเดินหน้าอย่างไรเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของการสร้างสังคมจีนในอุดมคติที่คนจีนกินสบายอยุ่สบาย (moderately prosperous society)อย่างไร สีจิ้นผิงเรียนรู้อะไรจากในหลวงรัชกาลที่ 9? 18/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/379199230241401
33. สหรัฐ Vs จีน: ใครพึ่งพาใคร ความล้มเหลวของสหรัฐในสงครามอัฟกานิสถานสะท้อนถึงความเสื่อมของจักรวรรดิทางการทหารและการเมืองที่มีปัญหาเรื่องฐานะการเงินอยู่แล้ว เพราะว่ามีหนี้สูงและมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถรักษาดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกได้อีกต่อไป
ในขณะเดียวกันดุลอำนาจของโลกกำลังย้ายมาทางตะวันออก โดยมีจีน รัสเซีย และอิหร่านเป็นแกนนำที่สำคัญในการสร้างความร่วมมือGreater Eurasian Partnership ซึ่งเป็นการผนวกโครงการEurasian Economic Union ของรัสเซียที่ต้องการสร้างเขตการค้าเสรีกับกลุ่มประเทศในเอเชียกลางที่แตกแยกออกจากสหภาพโซเวียตในปี 1991 และโครงการOne Belt, One Road หรือเส้นทางสายไหมของจีนที่จะเน้นการทางลงในโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือทางการค้า การเงิน เศรษฐกิจในเอเชีย ยุโรปและแอฟริการวมกัน
ขั้วอำนาจโลกใหม่ของจีน รัสเซีย อิหร่าน รวมท้ังเกาหลีเหนือไม่ต้องการอยู่ภายใต้กรอบเสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism) ของสหรัฐ และสหภาพยุโรปที่ดูแลระเบียบโลกปัจจุบันผ่านยูเอ็นที่ดูแลการเมืองโลก ไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลกที่ดูแลการเงินโลก และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆที่รักษาผลประโยชน์ของ ลัทธิทหาร การล่าอาณานิคมสมัยใหม่ ทุนนิยมการเงินของภายใต้หน้าฉากของเสรีนิยมประชาธิปไตย การค้าเสรี สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค ซึ่งไม่มีจริงในโลกของความเป็นจริง เพราะว่ายิ่งพัฒนาในแนวทางโลกตะวันตก ประเทศตะวันตกยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่ประเทศด้อยพัฒนายิ่งจะยากจนลง พอจะลืมตาอ้าปากได้กับชาวบ้านก็เกิดวิกฤติการเงิน หรือวิกฤติโลก เจอไวรัสระบาด ค่าเงิน หรือตลาดหุ้นโดนทุบ
Greater Eurasian Partnership จึงเป็นกรอบความร่วมมือใหม่ของมหาอำนาจขั้วโลกตะวันออกที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของขั้วมหาอำนาจของสหรัฐและอียู โดยมีแองโกลอเมริกันเป็นแกนนำ
ถึงตอนนี้ เราคงจะเห็นภาพชัดเจนว่าจีนไม่ต้องการพึ่งพาสหรัฐ หรืออยู่ในกรอบของระเบียบโลกของกลุ่มแองโกลอเมริกันอีกต่อไป พูดง่ายๆจีนไม่ต้องการเล่นหนังฮอลลีวู๊ดที่แอลเอ แต่ต้องการเล่นงิ้วที่โรงงิ้วที่เซี่ยงไฮ้ ไม่ต้องการติดกับดักดอลล่าร์กระดาษที่ประเทศส่วนมากในโลกดิ้นไม่ออก จีนตั้งตัวเองมีฐานะมั่งคั่งพอที่จะเป็นเถ้าแก่โรงงาน ไม่ได้เป็นลูกจ้างขายแรงงานถูกให้สหรัฐอีกต่อไป
ในช่วงแรกของการพัฒนาเศรษฐกิจหลังเปิดประเทศในปี1979 จีนไม่มีทางเลือก ต้องตั้งเป้าหมายหลักคือการกอบโกยเงินอย่างเดียวเพื่อไล่ให้ทันโลกตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสะสมดอลล่าร์สหรัฐให้ได้มากที่สุด เนื่องจากจีนเป็นประเทศใช้นโยบายส่งออกเป็นตัวนำ และมีความจำเป็นต้องนำเข้าด้วย จึงต้องมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ดอลล่าร์ให้มากเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถซื้อวัตถุดิบน้ำมัน สินค้าต่างๆเพื่อใช้การการผลิตเพื่อการส่งออก
นอกจากนี้การมีดอลล่าร์เยอะจะช่วยสร้างความมั่นใจในค่าเงินหยวนที่ยังไม่มีความน่าเชื่อถือในเวทีการเงินระหว่างประเทศ เมื่อจีนมีดอลล่าร์มาก จะทำให้นักลงทุนมั่นใจเอาดอลล่าร์เข้าแลกหยวนเพื่อลงทุนในจีน โดยมีความสบายใจได้ว่าสามารถเอาหยวนแลกกลับเป็นดอลล่าร์ได้เมื่อมีความต้องการ
จีนมีการการตั้งเป้าส่งออกให้โตที่สุดเพื่อโกยดอลล่าร์เติมเต็มในรีเชิร์ฟจนจีนมีทุนสำรองมากที่สุดในโลกถึง$4ล้านล้านในปี 2014 การดันจีดีพีให้โตทะลุฟ้าจึงเป็นนโยบายระยะแรกในการสร้างเศรษฐกิจ และสร้างตลาดแรงงานที่เป็นผลพวงของการเปิดประเทศให้สหรัฐ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผู้สร้างเศรษฐกิจจีนสมัยใหม่ เอาเงินมาลงทุน และเอาเทคโนโลยี ระบบบริหารจัดการสมัยใหม่มาให้
ที่จีนต้องเน้นการหาเงินด้วยการการส่งออก เพราะว่าถ้าจีดีพีไม่โตจะไม่สามารถรองรับแรงงานจีน หรือพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปได้ เศรษฐกิจจีนมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากการเป็นโรงงานของโลก และการมีระบบซับไพลเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตัวเองในประเทศเริ่มมีการสะสมความมั่งคั่ง คนจีนมีอำนาจซื้อเพิ่ม จนสามารถแก้ปัญหาหลักของประเทศคือความยากจนได้
แต่ในขณะเดียวกันจีนติดกับดักดอลล่าร์ที่ต้องรักษาค่าเงินให้อ่อนค่าเพื่อขายของถูก และดันเป้าการส่งออก ผลที่ตามมาของค่าเงินที่อ่อนคือ กำลังซื้อภายในของคนจีนจะลดลงจากเงินเฟ้อ นอกจากนี้ จากการมีรายได้ดอลล่าร์มากเกินไปทำให้จีนต้องเล่นตามเกมที่ถูกกำหนดแต่ต้นคือต้องรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปยังสหรัฐในรูปแบบการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้สหรัฐสามารถใช้จ่ายเงินเกินตัวผ่านงบประมาณขาดดุลในการรักษาแสนยานุภาพทางทหาร
เมื่อสี จิ้นผิงขึ้นมามีอำนาจในปี 2013 จีนมีแนวความคิดที่จะออกจากกับดักดอลล่าร์ ค่อยๆลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออก ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐโดยกระจายความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจกับภูมิภาคอื่นๆของโลก เพื่อที่จะปลดแอกจากกับดักดอลล่าร์ และสามารถควบคุมอำนาจอธิปไตยทางด้านเศรษฐกิจและการเงินของตัวเองได้อย่างแท้จริง
จีนได้ดอลล่าร์มาก็ดี แต่ได้มาแล้วก็มีปัญหา หรือมีคอสท์ที่ไม่คุ้มกับการขายแรงงานถูก การกดค่าเงินให้อ่อน การสูญเสียอำนาจซื้อของคนจีนจากเงินเฟ้อ และการทำลายสิ่งแวดล้อมภายในจากการผลิตส่วนเกินเพื่อการส่งออก ในระยะยาวแล้วการติดกับดักดอลล่าร์จะส่งผลเสียหายให้กับประเทศ เหมือนกับญี่ปุ่นที่ติดกับดักดอลล่าร์แล้วดิ้นไม่ออก
จึงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญในสมัยสี จิ้นผิงคือการสร้างสมดุลระหว่างภาคต่างประเทศและภาคภายในประเทศ (dual circulation) คือจะลดความสำคัญของการส่งออก หรือลดการหารายได้ในรูปดอลล่าร์ หรือจะบอกว่าลดการพึ่งพาสหรัฐก็ได้ แต่จะหันมาเสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในผ่านการสร้างอุปทานทางเศรษฐกิจ (supply-side economics) ผ่านการบริโภคภายใน การสร้างนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทันสมัย การสร้างธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดเล็กขนาดกลางเพื่อช่วยในการสร้างงาน โดยต่อไปบริษัทขนาดเล็กขนาดกลางจะกลายเป็นบริษัทใหญ่ หรือบริษัทระหว่างประเทศ
จีนมีความมั่งคั่งพอแล้วทางการเงินและเศรษฐกิจที่จะพึงพาตัวเอง จีนไม่จำเป็นต้องใช้ดอลล่าร์เป็นรีเสิร์ฟอีกต่อไป มีทองมากเพียงพอ ประมาณ30,000ตัน หรือมีมากที่สุดในโลกด้วยซ้ำ เงินหยวนมีศักยภาพที่จะเป็นเงินสกุลหลักที่สำคัญสกุลหนึ่งของโลก และที่สำคัญจีนพึ่งพาตัวเองได้ในเรื่องเทคโนโลยี รวมท้ังการป้องกันประเทศ ด้วยเหตุนี้ในสมัยของสี จิ้นผิง เราถึงได้เห็นเทคโนโลยีจีนมีการพัฒนาก้าวไกลแบบก้าวกระโดดจนตามโลกตะวันตกทัน หรือแซงหน้าเทคโนโลยีตะวันตกในหลายด้านจนสามารถส่งยานอวกาศไปดาวอังคารได้
การทหาร รวมท้ังอาวุธยุทโธปกรณ์ของจีนก็ไม่ด้อยกว่าชาติใดในโลก จีนมีระเบิดนิวเคลียร์นับพันลูก และมีฐานยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยใกล้ กลางไกลกระจายทั่วประเทศ จรวดความเร็วเหนือเสียงของจีนสามารถถล่มกองเรือรบของศัตรูได้ในพริบตา ระบบดาวเทียมและเรดาร์ของจีนก็ไม่ด้อยกว่าชาติใด จนทำให้สหรัฐดำเนินนโยบายต่างๆเพื่อสกัดไม่ให้จีนผงาด ต้องการบีบให้จีนอยู่ในกรอบระเบียบเดิม แต่ขนาดเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐก่อนสิ้นสุดทศวรรษนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เก้าแก่โรงงานจะมีความสัมพันธ์เหมือนเดิมกับสหรัฐที่เป็นผู้ซื้อสินค้าจีน
เมื่อต้องปลดแอกจากกรอบของกลุ่มแองโกลอเมริกัน จีนจึงต้องสร้างกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศใหม่ เพราะว่าจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรืออยู่ในสุญญากาศไม่ได้ จึงเป็นที่มาของโครงการเส้นทางสายไหมเพื่อเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือทางการค้าเศรษฐกิจ การเงินและเทคโนโลยี โดยจีนจะเป็นผู้นำ แต่เส้นทางสายไหมจะมีเกิดได้เต็มที่ สันติภาพและเสถียรภาพต้องเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง
เราทราบกันดีว่าสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชียกลาง ตะวันออกกลางยังไม่เกิด เพราะว่าเกิดสงครามหรือถูกกลุ่มแองโกลอเมริกันแบ่งแยกและปกครอง
การที่สี จิ้นผิงกับมือกับวราดิเมียร์ ปูตินผู้นำของรัสเซีย ซึ่งกำลังสร้างเขตการค้าเสรียูเรเซีย เพื่อสร้างGreater Eurasian Partnershipจึงเท่ากับเป็นการสร้างระเบียบโลกใหม่ ที่แข่งกับระเบียบโลกเดิมของกลุ่มแองโกลอเมริกันที่ต้องการปกครองโลกในลักษณะนายกับบ่าว (master & slave) หลักการของความเป็นหุ้นส่วนยูเรเซียที่ขยายวงกว้างจะเน้นความร่วมมือ และการพัฒนา ซึ่งแตกต่างจากนีโอลิเบอรัลริซึ่มของกลุ่มแองโกลอเมริกันที่ใช้หลักการแบ่งแยกและปกครอง และการก่อสงคราม
สี จิ้นผิงจะสร้างจีนสมัยใหม่ให้ยิ่งใหญ่ ผ่านOne Belt, One Road และGreater Eurasian Partnershipต้องได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศว่าได้ประโยชน์จริงจากความร่วมมือการพัฒนา และการยุติสงครามความขัดแย้งต่างๆ เพื่อเสถียรภาพและสันติภาพ
เหตุการณ์ที่พวกตอลิบันสามารถบุกยึดกรุงคาบูลและกลับมาครอบครองอัฟกานิสถานได้อย่างง่ายดายในขณะที่สหรัฐ และนาโต้ทิ้งอัฟกานิสถานอย่างไม่มีเยื่อใย หรือการเอาตัวรอด ตัดช่องน้อยแต่พอตัว สามารถทำให้เรามองเห็นได้ว่าเป็นจุดหักเหทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ เพราะว่ามันสะท้อนความเสื่อมของจักรวรรดิแองโกลอเมริกัน ที่ไม่สามารถดูแลบริวารประเทศได้เหมือนเดิมท่ามกลางการผงาดของจีน รัสเซียและอิหร่าน ซึ่งเป็นขั้วอำนาจใหม่
นานาประเทศกำลังจับตาดูกรณีอัฟกานิสถานเป็นพิเศษ เพื่อที่จะทบทวน ไตร่ตรองนโยบายต่อไปว่าจะยอมเล่นบทตัวสำรอง ตัวร้ายในโรงถ่ายหนังฮอลลีวู๊ด หรือจะเข้าร่วมเล่นงิ้วกับจีน เต้นบัลเลต์กับรัสเซีย อำนาจของโลกกำลังพลิกจากขั้วตะวันตกมายังโลกตะวันออก
ใครดูไม่ออกก็เท่ากับว่าตกเวทีประวัติศาสตร์โลก เกรงว่าลุงแก่ๆจะขาหักคอหักเสียก่อน 18/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/379026206925370
32. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
ภาพของการอพยพของเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน และคนอเมริกันรวมท้ังชาวอัฟกันที่ตระเกียกตระกายอพยพหนีออกจากประเทศอัฟกานิสถานที่สนามบินคาบูลในช่วง2วันที่ผ่านมา สื่อความได้ดีกว่าคำพูดหลายร้อยหลายพันคำว่าจักรวรรดิอเมริกันมาถึงจุดเสื่อมที่กู่ไม่กลับ พวกตอลิบันสามารถกลับมายึดครองกรุงคาบูลได้หลังจากทำสงครามกับทหารอัฟกันและกองทัพอเมริกันมาเป็นเวลายาวนาน20ปี
โจ ไบเดนถูกโจมตีหนักว่าเป็นผู้นำที่ไม่เอาถ่าน เพราะปล่อยให้พวกตอลิบันเข้ามายึดครองกรุงคาบูลได้อย่างง่าย โดยที่ไม่ทันตั้งหลัก สถานทูตอเมริกันต้องปิดการทำการอย่างกระทันหัน ไบเดนต้องส่งทหาร5,000นายเข้าไปช่วยอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูต สต๊าฟและคนอเมริกันออกจากประเทศอัฟกานิสถานอย่างฉุกละหุก
ประธานาธิบดีAshraf Ghani ที่เป็นผู้นำตุ๊กตาของสหรัฐเผ่นหนีก่อนใคร พร้อมเงินดอลล่าร์อัดแน่นเต็มกระเป๋าหลายใบ แต่ต้องทิ้งกระเป๋าลงบนรันเวย์สนามบิน เพราะว่าไม่มีที่ว่างพอที่จะยัดใส่เฮลิคอปเตอร์ ส่วนชาวอัฟกันจำนวนมากกลัพวกตอลิบัน พากันหนีตายมาออที่สนามบิน ทำให้ชุลมุนวุ่นวายไปหมด แต่เครื่องบินมีที่นั่งจำกัด มีชาวอัฟกันหลายคนใจกล้าพยายามเกาะล้อเครื่องบินในขณะที่เครื่องบินสหรัฐบินขึ้นฟ้า ทำให้ตกเครื่องบินตายเป็นที่น่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง ช็อคกันไปทั้งโลก
มีภาพเฮลิคอปเตอร์Chinookลำเลียงขนคนอเมริกันจากสถานทูตไปยังสนามบินเหมือนกับเหตุการณ์ที่กรุงไซ่งอนแตกในปี 1975 ทำให้มีการเรียกการอพยพหนีออกจากกรุงคาบูลของสหรัฐในคร้ังนี้ว่าเป็นช่วงเวลาไซ่ง่อน (Saigon moment)
มันเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของจักรวรรดิสหรัฐ ที่เชื่อมั่นในแสนยานุภาพทางทหารที่ไร้เทียมทาน แต่ต้องมาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับพวกตอลิบันที่เป็นนักรบหนวดเครายาวรุงรัง ใส่รองเท้าแตะ น้ำท่าไม่ค่อยจะได้อาบ กองทัพสหรัฐหนีออกจากอัฟกานิสถาน โดยทิ้งให้คนอัฟกันรับเคราะห์ต่อไป เพราะไม่มีใครรู้อนาคตของอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของพวกตอลิบันที่มีความตั้งใจเปลี่ยนประเทศเป็นรัฐอิสลามที่เคร่งครัด
เมื่อกองทัพสหรัฐล้มเหลวในสงครามอัฟกานิสถาน ละทิ้งชาวอัฟกันที่ฝักใฝ่ หรือทำงานให้สหรัฐและนาโต้ แล้วต่อไปผู้นำสหรัฐจะสื่อความอย่างไรกับประเทศต่างๆในกลุ่มอินโด แปซิฟิคว่าให้ร่วมมือล่มหัวจมท้ายกับสหรัฐในการปิดล้อมจีน เพื่อลดอิทธิลของจีนในภูมิภาค หรือเพื่อทำสงครามกับจีน
ประเทศใดที่ดำเนินนโยบายตามหลังสหรัฐในการปิดล้อมจีน หรือเป็นปฏิปักษ์กับจีนจะได้งบช่วยเหลือทางทหารกับสหรัฐ แน่นอนพวกทหาร หรือฝ่ายความมั่นคงจะชอบ ซึ่งอาจจะไม่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ แต่ถ้าสหรัฐเกิดเจรจาทางการเงินกับจีนได้ หักหลังพันธมิตรที่ถูกหลอกให้ถลำตัวไปเผชิญหน้ากับจีน แล้วประเทศนั้นจะวางตัวอย่างไรต่อไป จะมองหน้าจีนอย่างไร
ยิ่งถ้าเกิดสหรัฐรบกับจีน แล้วถอยหนีกลางคัน หรือประนีประนอมกับจีนได้ทางการเงินสกุลหลักของโลกหรือแพ้จีน แต่ทอดทิ้งพันธมิตรที่ร่วมรบกันมา แล้วประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐในการต่อต้านจีนจะอยู่อย่างไรต่อไป
เรื่องนี้ลุงแก่ๆแถวนี้ที่ชอบเดินตามก้นคนอื่น คิดถ่องแท้ดีหรือยัง ให้ดูอัฟกานิสถานเป็นตัวอย่าง
จริงอยู่ว่าที่ว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีการเจรจากับพวกตอลิบันที่จะถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานในวันที่ 1พฤษภาคม เพราะสหรัฐประเมินแล้วว่า สงครามอัฟกันเสียมากกว่าคุ้มหลังจากทำสงครามมานาน19 ปี ตั้งแต่หลังเหตุการณ์911ในสมัยบุชในปี 2001 ทำให้ขวัญกำลังในของรัฐบาลอัฟกันหายไปหมด
ในสมัยของโอบามา สหรัฐส่งทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานมากถึง100,000นาย โอบามาพูดถึงการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน หลังจากที่ฆ่าบิน ลาเดน หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัล เคด้าตายในปากีสถานปี 2014 แต่เพนตากอนไม่ยอมถอนกำลังง่ายๆ เนื่องจากอัฟกานิสถานเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นแหล่งปลูกฝิ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก 90%ของยาเสพติดมาจากอัฟกานิสถานที่หทารอเมริกันดูแลให้การคุ้มครอง การยึดครองอัฟกานิสถานเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมทางภูมิรัฐศาสตร์ในการมีอิทธิพลเหนือตะวันออกกลางและเอเชียกลางของสหรัฐ
แต่คนอเมริกันจะถูกขายฝันมาตลอดว่าสาเหตุที่สหรัฐต้องทำสงครามในอัฟกานิสถานก็เพื่อต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อที่จะทำให้อเมริกาปลอดภัยจากการก่อการร้าย ทั้งๆที่พวกอัล เคด้าเกิดขึ้นมาจากฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐ เพื่อให้เพนตากอนมีงานทำ ส่วนพวกตอลิบันก็ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากนอกประเทศอัฟกานิสถาน ไม่เหมือนกับอัล เคด้า หรือไอซิส ผลของสงครามอัฟกันประเทศเดียวทำให้สหรัฐต้องใช้งบประมาณ$2.2ล้านล้าน
ในขณะที่สถานทูตของประเทศตะวันตก หรือประเทศในกลุ่มนาโต้ที่ร่วมกับสหรัฐก่อสงครามกับพวกตอลิบันปิดการทำการเป็นแถวในกรุงคาบูล สถานทูตของรัสเซียและของจีนยังคงดำเนินการเป็นปกติ
ทหารอัฟกันที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพสหรัฐไม่ต่อสู้ขัดขืนแม้แต่น้อย แถมทิ้งอาวุธหนีทัพ เมืองแล้วเมืองเล่าในอัฟกานิสถานตกอยู่ภายใต้การยึดครองของพวกตอลิบันอย่างง่ายดาย ท้ังๆที่พวกตอลิบันมีจำนวนนักรบ75,000นาย ส่วนทหารอัฟกันมีจำนวน 300,000นายพร้อมอาวุธที่ทันสมัยที่สุดที่สหรัฐซับไพลให้ พร้อมกับการฝึกรบอย่างดี
ตอลิบันรบด้วยใจ ไม่กลัวตาย ทหารอัฟกันรบด้วยเงิน กลัวตาย ผลก็เป็นอย่างที่เห็น
ประเด็นที่น่าสนใจต่อไปคือนโยบายต่างประเทศของจีนที่จะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอัฟกานิสถาน ตะวันออกกลาง และเอเชียกลางหลังจากที่สหรัฐพลาดท่าจากนโยบายการสงคราม แบ่งแยกและปกครอง ในขณะที่รัสเซีย อิหร่านและจีนสามารถจับมือกันได้ในการต้านทานอิทธิลของสหรัฐ
จีนพร้อมที่จะรับรองรัฐบาลตอลิบัน และให้เงินสนับสนุนในการบูรณะสร้างชาติใหม่เพื่อให้อัฟกานิสถานเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมที่จะเกิดขึ้นได้ ความสงบและสันติภาพต้องกลับคืนมาในตะวันออกกลางและเอเชียกลาง จีนจะไม่ติดกับดักของสงครามเหมือนอย่างที่รัสเซียติดหล่มสงครามในอัฟกานิสถานระหว่างปี1979ถึง 1989 และสหรัฐที่ติดหล่มสงครามเหมือนกันระหว่าง2001ถึง2021
ด้วยภูมิประเทศที่เป็นหลืบเป็นภูเขาสูงทำให้อัฟกานิสถานเป็นชัยภูมิที่ดีที่สุดในการป้องกันการรุกรานจากกองทัพต่างชาติ
เราจะได้เห็นนโยบายต่างประเทศของจีนว่าจะมีความแตกต่างจากนโยบายของสหรัฐอย่างไร โดยดูได้จากกรณีของอัฟกานิสถานต่อไป เพราะว่าจีนจะเน้นสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในการฟื้นฟูประเทศ จะช่วยลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน สร้างตลาดอัฟกันให้เกิดขึ้น ให้มีอำนาจซื้อ ซึ่งเป็นนโยบายที่จีนทำอยู่แล้ว ที่ชัดเจนคือในกลุ่มประเทศแอฟริกา
ส่วนสหรัฐเน้นนโยบายการก่อสงคราม หรือการสนับสนุนโค่นล้มรัฐบาลที่ไม่ทำตามนโยบายของวอชิงตัน แล้วเข้าไปตักตวงผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากเพนตากอนมีอำนาจเหนือทำเนียบขาวจึงเน้นการสงครามเป็นหลัก การทำสงครามทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องตั้งงบประมาณทหารนับ$1ล้านล้านในแต่ละปีทำให้ทหาร ฝ่ายความมั่นคง นักการเมือง พวกคอนแทร็คเตอร์ที่นักการเมืองมีเอี่ยว พ่อค้าขายอาวุธร่ำรวยอย่างมหาศาล นอกจากนี้สงครามทำให้สหรัฐสามารถพัฒนาอาวุธให้ทันสมัยไปได้เรื่อยๆเพื่อว่าจะได้ครอบงำระบบโลกได้
จีนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกตอลิบันอยู่แล้ว นโยบายของจีนต่ออัฟกานิสถานมีจุดประสงค์หลายประการด้วยกัน โดยจะร่วมมือกับปากีสถาน รัสเซีย และอิหร่านในการทำให้อัฟกานิสถานมีความมั่นคง ประการแรก อัฟกานิสถานมีแหล่งแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นทองแดง ทอง เงิน ยูเรเนียม สังกะสี ที่สำคัญมีแหล่งแร่แรเอิร์ทที่มีความสำคัญมากต่ออุตสาหกรรมอีเลคโทรนิกส์ นอกจากนี้อัฟกานิสถานมีแหล่งแร่ลิเธียมที่เอามาใช้ทำแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้า ประเมินกันว่าแหล่งแร่ลิเธียมของอัฟกานิสถานมีมากพอๆหรืออาจจะมากกว่าโบลิเวียด้วยซ้ำ รัฐบาลโบลิเวียชุดก่อนถูกทหารหนุนในการก่อการรัฐประหารเพราะว่าไปยกสัมปทานแหล่งแร่ลิเธียมให้กับบริษัทจีน ที่แข่งกับเทสล่าของสหรัฐ อัฟกานิสถานมีเพชรพลอย หรือหินสีที่มีค่ามากเป็นที่หมายปอง จีนจะได้ประโยชน์ในด้านการซับไพลทรัพยากรธรรมชาติของอัฟกานิสถานเพื่อแลกกับเงินลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจ
ประการที่สอง จีนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับปากีสถานอยู่แล้ว โดยมีโครงการChina Pakistan Economic Corridor ที่มีมูลค่าเงินลงทุน$62,000ล้าน ซึ่งเป็นการลงทุนที่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม จีนจะจับเอาอัฟกานิสถานกับปากีสถานมาเชื่อมกันในโครงการนี้ ถ้าทำสำเร็จจะทำให้ประเทศต่างๆในภูมิภาคเร่งสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง เพื่อกลับมาพัฒนาประเทศ และประชาชนจะไม่สนับสนุนผู้นำของตัวเองที่มีนโยบายสร้างความขัดแย้ง หรือก่อสงครามตัวแทน
ประการที่สาม จีนมีการพูดคุยกับพวกตอลิบันเป็นอย่างดีมาแล้ว อันเห็นจากที่คณะผู้แทนตอลิบันเดินทางไปเมืองเทียนจินของจีนเพื่อพบปะเจรจากับนายหวัง ยี รมวต่างประเทศของจีนอย่างเป็นทางการ จีนอ่านเกมออกว่า กรุงคาบูลใกล้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของพวกตอลิบันแล้ว สิ่งที่จีนเป็นกังวลใจคือลัทธิการก่อการร้ายที่อาจจะแพร่จากอัฟกานิสถานแล้วเข้าไปในซินเจียง จึงต้องการการรับรองจากตอลิบันว่าให้ช่วยดูแลปัญหาเรื่องลัทธิการก่อการร้าย terrorism ลัทธิความรุนแรงสุดกู่ extremism และลัทธิแบ่งแยกดินแดน separatism
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20นี้ เราจะได้เห็นนโยบายต่างประเทศที่จะแข่งขันกันระหว่างจีนกับสหรัฐ โดยจีนกำลังตีจากสหรัฐ เพราะว่าอยู่ในฐานะที่ไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐอีกต่อไป การคบกับสหรัฐมีแต่จะเสียมากกว่าคุ้มในรูปแบบการส่งออกสินค้าราคาถูกไปให้ผู้บริโภคสหรัฐ ทำให้ต้องกดค่าหยวนให้ต่ำเพื่อแข่งขันการส่งออก แต่ผลเสียคือคนจีนจะเจอเงินเฟ้อ ทำให้สูญเสียอำนาจซื้อ ชนชั้นกลางต่อไปจะแจ้งเกิดยาก นอกจากนี้จีนต้องเอาดอลล่าร์กลับไปรีไซเกิ้ลซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้สหรัฐสามารถรักษาแสนยานุภาพทางทหาร จีนกำลังทำให้หยวนมั่นคง และจะเลิกนโยบายกดค่าเงินให้อ่อน หันมาเน้นสวัตกรรม และการสร้างเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในขณะที่สยามประเทศยังติดหล่มในนโยบายเงินบาทอ่อนค่าอยู่เพื่อแข่งขายของถูก
ในทางทหารหรือความมั่นคง จีนจะเสริมสร้างความร่วมมือผ่านองค์กรShanghai Cooperation Organization โดยมีรัสเซีย อิหร่าน และประเทศในเชียกลาง และต่อไปประเทศในเอเชียเป็นเข้าร่วมเป็นสมาชิก เพื่อต้านทานองค์กรนาโต้ และจะเน้นเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุนกับนานาประเทศเพื่อสร้างเส้นทางสายไหม เปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลก และเพิ่มบทบาทให้เงินหยวนในอนาคต
ส่วนสหรัฐจะไปไม่รอดถ้ายังคงไม่ปรับนโยบายทหารในเชิงรุก แล้วต้องหันกลับไปสร้างความเข้มแข็งภายในอย่างจริงๆจังๆ เพราะว่าความล้มเหลวในอัฟกานิสถานทำให้ความน่าเชื่อถือว่ากองทัพสหรัฐไร้เทียมทานได้จบสิ้นไป โดยเฉพาะเรื่องการถีบส่งพันธมิตรกลางคัน อันเห็นได้จากทหารอเมริกันถอนออกจากฐานทัพBagramที่เป็นสนามบินด้วยในอัฟกานิสถานโดยไม่กล่าวร่ำลาเจ้าบ้านอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยอ้างความปลอดภัยของทหารอเมริกัน และทิ้งข้าวของที่เหลือใช้รวมท้ังพาหนะต่างๆเกลื่อนสนามบิน
ทำให้ตอนนี้หลายๆประเทศที่ถูกสหรัฐให้ยุทำสงครามกับรัสเซียและจีนต้องคิดหนักว่า วันดีคืนดีจากการร่วมหัวจมท้ายกับสหรัฐจะถูกถีบส่งกลางดึกหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูเครน โปแลนด์ กลุ่มประเทศบอลติกส์ โรมาเนีย ที่ดำเนินนโยบาย ทางทหารที่เป็นปฏิปักษ์กับรัสเซียอย่างชัดเจน อินเดีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมท้ังประเทศไทยจะเข้าร่วมกับสหรัฐในการเป็นปฏิปักษ์กับจีนทางทหารอย่างเต็มตัวหรือไม่ให้ดูกรณีของอัฟกานิสถานเป็นตัวอย่าง
ความเสื่อมทางทหารของสหรัฐมาจากความเข้มแข็งที่มากขึ้นของรัสเซียและจีนนั่นเอง และความอ่อนแอภายในของสหรัฐที่เกิดจากการถูกวอลล์สตรีท เพนตากอนตักตวงผลประโยชน์ของประเทศไปหมด ส่วนรัสเซียและจีนมาถึงจุดที่ไม่ต้องพึ่งพา หรือเกี่ยวพันกันกับสหรัฐก็อยู่ได้ และอยู่ได้ดีขึ้นอีกด้วยผ่านการพึ่งพาตัวเองท้ังด้านเงินทุนและเทคโนโลยี และการพัฒนายูเรเซียและเส้นทางสายไหมที่จะนำพาโลกไปสู่ยุคใหม่ของศตวรรษที่ 21 17/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/378432366984754
31. สหรัฐ Vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
ใครต้องพึ่งพาใคร หรือใครต้องง้อใครก่อนเห็นได้ชัดจากความพยายามของสหรัฐที่จะเป็นผู้เปิดฉากขอเจรจากับจีนก่อนทุกคร้ัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจการค้า และล่าสุดการเงิน
มีรายงานว่าจาเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯวางแผนที่จะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งของจีนในอีกหลายเดือนข้างหน้า เพื่อพบปะกับรองนายกรัฐมนตรี หลิวเหอ ของจีน ส่วนโจ เบเดนจะเจรจากับสี จิ้นผิงในระดับการประชุมซัมมิทหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการออกตัวของสหรัฐก่อนเหมือนกัน เพราะว่าสีไม่มีอารมณ์ที่จะอยากเจอไบเดน ผู้นำของสหรัฐที่ผ่านมามีการพูดจาโอหังสามหาวกับจีน ยิ่งทรัมป์พูดจาถึงสีในลักษณะอันธพาล ออกอาการถ่อย ไม่มีวัฒนธรรมของคุณสมบัติผู้ดี ในขณะที่สีไม่ได้ปริปากตอบโต้ทรัมป์หรือไบเดนแม้แต่น้อย ให้เพียงระดับโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนออกมาตอบโต้ แสดงว่าสีไม่ลดระดับตัวเองลงมาเกลือกกลั้วกับความถ่อยของผู้นำสหรัฐที่ยังหลงคิดในความพิเศษของอเมริกา (American Exceptionalism)
กล่าวโดยสรุปแล้ว ที่ผ่านมาจีนนั่งกอดอกเฉยๆ ในขณะที่สหรัฐลุกลี้ลุกลนที่จะขอเจรจากับจีน หลังจากออกมาตรการรุนแรงกับจีนแล้วจึงขอเจรจาตามสไตล์อเมริกันเพื่อต่อรอง จีนจะส่งสัญญานว่าถ้าอยากจะเจรจาก็ให้ยกเลิกกำแพงภาษีที่กีดกันสินค้าจีนก่อน ทำตามกฎขององค์การค้าโลกก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน แต่ถ้าไม่ได้มาตรการตอบแทนจากจีน สหรัฐจะไม่ยอมผ่อนปรนสงครามภาษี ทำให้การเจรจาไม่คืบหน้า แต่สหรัฐก็ต้องการเปิดการเจรจากับจีนก่อนทุกคร้ัง เมื่อเป็นเช่นนี้ จีนจึงมีอำนาจการต่อรองมากกว่าสหรัฐ หรือไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐอีกต่อไป
เหมือนเวลาเราทะเลาะกับแฟน ถ้าเราต้องง้อก่อน แสดงว่าเราเสียอำนาจการต่อรองไปแล้ว ต้องรู้จักอดกลั้น อย่าได้ไลน์ไปหาก่อน แม้ว่าจะรู้สึกทุรนทุรายในอารมณ์ก็ตาม แต่ถ้าแฟนยังไม่ยอมติดต่อกลับก็ต้องยอมง้อ ยอมเสียหน้า หรือยอมแพ้ไปเลย เพราะว่าไม่มีทางที่เราจะชนะผู้หญิงได้
เยลเลนต้องง้อจีนอยู่แล้ว เพราะว่าจีนเป็นเจ้าหนี้สหรัฐรายใหญ่สุด พอๆกับญี่ปุ่น เพราะว่าจีนรีไซเกิ้ลดอลลล่าร์กลับไปถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมากกว่า$1.1ล้านล้าน เพื่อให้สหรัฐใช้จ่ายเกินตัวทางทหาร แต่เพลานี้จีนไม่ต้องการเล่นเกมรีไซเกิ้ลแบงก์กงเต๊กอีกต่อไป เมื่อจีนได้ดอลล่าร์จากการส่งออกก็เอาไปลงทุนในทรัพย์สินอื่น อันเห็นได้จากช่วงมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังจีนลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลงคิดเป็นมูลค่ารวม 26,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่สหรัฐเจอปัญหาการก่อหนี้ที่ชนเพดาน แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะmonetizeหนี้ของรัฐบาลกลางผ่านการทำคิวอีเข้าไปถือครองพันธบัตรรัฐบาลโดยตรงในปริมาณที่มหาศาล แต่ต้องมีเจ้าหนี้รายอื่นร่วมซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐด้วยถึงจะดูดี หรือช่วยสร้างความมั่นใจกับดอลล่าร์ เยลเลนจึงน่าจะขอร้องให้จีนช่วยรีไซเกิ้ลดอลล่าร์ต่อไป โดยจะแลกกับการยกเลิกมาตรการภาษีที่เก็บสินค้านำเข้าจากจีน
เยลเลนรู้ดีว่า เรื่องดอลล่าร์รีไซเกิ้ลเป็นเรื่องระยะสั้น เพราะอย่างไรเสียจีนก็จะไม่เล่นเกมนี้ยืดออกไปนาน และกำลังหาทางดั้มดอลล่าร์อยู่ เพราะว่าจีนมีความพร้อมที่จะไม่ต้องพึ่งพาดอลล่าร์ในการทำธุรกรรมการเงิน หรือการค้าระหว่างประเทศในวาระต่อไป เพราะว่าสามารถใช้เงินหยวนที่จีนพิมพ์ขึ้นมาเองได้โดยไม่จำกัดอยู่แล้ว ที่ทำเช่นนั้นได้ เพราะว่าจีนมีระบบการค้าขายที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐแล้ว ทำให้สามารถกำหนดการค้าขายเป็นเงินหยวนแลกกับเงินสกุลท้องถิ่นได้ หรือใช้เงินสกุลอื่นแทน ไม่จำเป็นต้องติดล็อคกับระบบดอลล่าร์
เยลเลนน่าที่จะโฟกัสไปที่บทบาทของเงินสกุลโลกในวาระต่อไป ที่จะมาแทนเงินดอลล่าร์ โดยทางลอนดอนและวอลล์สตรีทมีการเตรียมการให้เงินSDR ดิจิตัลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศให้ทำหน้าที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก เนื่องจากดอลล่าร์มีปัญหาหนี้และปัญหาโครงสร้างทำให้สหรัฐไม่มีทางขึ้นดอกเบี้ยให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้ ในขณะที่การเพิ่มปริมาณเงินและการเพิ่มเครดิตทำให้เกิดเงินเฟ้อ ซึ่งจะลดอำนาจซื้อของดอลล่าร์ลงไปเรื่อยๆ ทำให้ดอลล่าร์ไม่ฉายแสงเปล่งประกายได้เหมือนในอดีต ผู้ที่ถือครองดอลล่าร์ต้องการผ่องถ่ายดอลล่าร์ออกไปหาทรัพย์สินอื่นที่สามารถรักษาอำนาจซื้อไม่ให้เสื่อมลง
แต่การที่SDRจะเป็นเงินสกุลหลักของโลก และไอเอ็มเอฟจะทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของโลกได้ จีนต้องเห็นด้วย ลอนดอนและวอลล์สตรีทพยายามเอาใจจีน ด้วยการเอาเงินหยวนเข้าไปอยู่ในตระกร้าเงินของSDRแล้วในปี2016 ตอนนี้ตระกร้าเงินSDRมีเงินดอลล่าร์ เงินยูโร เงินเยน เงินปอนด์ และเงินหยวน แต่จีนคงจะไม่เอาด้วยกับSDR ดิจิตัล เพราะว่าอำนาจการโหวตของเสียงส่วนใหญ่ในไอเอ็มเอฟยังอยู่ในมือของสหรัฐและอังกฤษ แต่สหรัฐและอังกฤษต้องการจีนมากกว่าที่จีนต้องการสหรัฐและอังกฤษ เพราะว่าถ้าจีนไม่สนับสนุนSDR ดิจิตัล โครงการOne World Currencyนี้ก็จะไปไม่รอด
ลอนดอนและวอลล์สตรีทต้องการให้โลกหันมาถือSDR ดิจิตัลเป็นเงินรีเสิร์ฟที่จะมีการสร้างภาพให้มั่นคงมากกว่าทองคำ เหมือนกับดอลล่าร์ที่สามารถหลอกลวงชาวโลกได้ตั้งแต่ปี 1971เป็นต้นมาจนถึงวันนี้50ปีพอดี
เรื่องอะไรที่จีนจะต้องง้อฮอลลี่วู๊ดในเมื่อจีนสามารถสร้างโรงถ่ายหนังชอร์ บราเธอร์สของตัวเองได้ จีนกำลังสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมทางการเงินของโลกใหม่ผ่านAsian Infrastructure and Investment Bank (AIIB) เพื่อไฟแนนซ์โครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานในเอเชีย ยุโรปและแอฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียกลางที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงพื้นที่ทั้งหมดของยูเรเซีย โดยระยะแรกจะดั้มดอลล่าร์ลงไปในโครงการนี้ ต่อไปจะค่อยให้หยวนมีบทบาทในการปล่อยกู้ ในขณะเดียวกันมีการสร้างAsian Drawing Rights เหมือนกับSDR โดยในตระกร้าเงินของADR เงินหยวนจะมีน้ำหนักมากที่สุด หรือมากกว่าดอลล่าร์ ต่อไปADRจะพัฒนาเป็นรีเสิร์ฟในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ เหมือนกับที่ถือทองคำในเวลานี้
การใช้ADRจะช่วยลดแรงกดดันของบทบาทของเงินหยวนดิจิตัลในอนาคต เพราะว่าถ้าหยวนขึ้นมาแทนดอลล่าร์โดยตรงจะตกเป็นเป้าของการโจมตี นอกจากนี้รัฐบาลจีนต้องก่อหนี้มากเกินความจำเป็นผ่านการออกพันธบัตรเหมือนที่สหรัฐทำอยู่เพื่อสร้างตลาดบอนด์จีนให้ใหญ่ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนสถาบัน หรือธนาคารกลางที่ต้องถือหยวนเป็นรีเสิร์ฟเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงิน จีนต้องการระบบการเงินโลกที่มีความสมดุล มากกว่าที่จะแบกภาระของการเป็นเงินสกุลหลักของโลกแต่ผู้เดียวเหมือนกับที่ประเทศ เหมือนกับที่สหรัฐทำกับเงินดอลล่าร์ ทำให้ต้องมีการเพิ่มหนี้มากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ความเชื่อมั่นในค่าเงินลดถอยลง
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ลอนดอนและวอลล์สตรีทจะทำการรีเซ็ตระบบการเงินโลก (Global Reset) เพื่อต่ออายุอำนาจทางการเงินของตัวเองในระดับโลก โดยจะดันSDRออกมาทำหน้าที่เงินสกุลหลักของโลกแทนดอลล่าร์ ที่จะลดบทบาทลงเป็นเงินสกุลท้องถิ่นธรรมดาเหมือนเงินรูปี เงินบาท เงินวอน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ดอลล่าร์ก่อหนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆในขณะที่ดอกเบี้ยถูกกดอยู่ระดับต่ำไม่สามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เพื่อสะท้อนระดับเงินเฟ้อที่แท้จริง เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยต้องสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เงินอยู่ในระบบ มิเช่นนั้นคนจะเอาเงินไปใช้ หรือลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเหมือนกับที่ทำอยู่ในเวลานี้
ที่ยุโรปอัตราผลตอบแทนหรือยิลด์ของตลาดพันธบัตรติดลบ แสดงว่าเจ้าหนี้ยืมเงินแล้วกำไร ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนกับดักสภาพคล่องอันเกิดจากการที่ระบบมีเงินมากเกินไป แต่ไม่มีช่องทางลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่มั่นใจได้ กองทุนต่างๆจึงต้องเอาเงินมาพาร์คในตลาดบอนด์รัฐบาลมากจนกระทั่งยิลด์ติดลบ เรื่องนี้จะมีผลกระทบที่ตามมาอย่างใหญ่หลวงต่อระบบเงินบำนาญของยุโรปที่จะไม่สามารถดูแลประชาชนวัยเกษียณได้เนื่องจากเงินที่เอาไปลงทุนในตลาดพันธบัตรไม่ได้ให้ผลตอบแทนอะไรเลย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น
เมื่อติดกับดักสภาพคล่อง และมีหนี้มากเกินไปทำให้ดอลล่าร์ไม่สามารถกู้ยืมเงินได้อีกต่อไป ทางออกจึงต้องใช้SDRมาทำหน้าที่เงินสกุลหลักของโลกแทน ทำให้ไอเอ็มเอฟสามารถสร้างSDR ดิจิตัลได้ในปริมาณที่ไม่จำกัด เพื่อให้ประเทศต่างๆ หรือบริษัทต่างๆถือเป็นรีเสิร์ฟในงบดุลแทนดอลล่าร์ ที่สำคัญไอเอ็มเอฟสามารถติดตามสอดส่องเงินดิจิตัลของตัวเองได้เนื่องจากมันอยู่ในรูปดิจิตัล ไอเอ็มเอฟจะกลายเป็นธนาคารกลางของโลกโดยปริยาย ทำให้ลอนดอนและวอลล์สตรีทจะยังคงรักษาอำนาจทางการเงินของตัวเองได้ต่อไป
มีการสร้างบิทคอยน์ หรือเงินคริปโตเพื่อเป็นการปูทางสำหรับSDR ดิจิตัล ที่จะมีแพล็ตฟอร์มคล้ายๆกัน เพื่อให้คนคุ้นเคยกับเงินดิจิตัลที่จะมาแทนเงินกระดาษ และเงินอีเลคโทรนิกส์ มีรายงานว่าสภาความมั่นคงของสหรัฐอยู่เบื้องหลังการสร้างบิทคอยน์เพื่อรองรับการปฏิวัติระบบการเงินโลก เพื่อให้เงินสกุลหลักของโลกเกิดใหม่เหมือนนกฟินิกซ์ที่ฟื้นคืนชีพจากกองเถ้าถ่าน
แผนการนี้ไม่ได้เป็นความลับแต่ประการใด จีนอ่านเกมออกจนทะลุปรุโปร่ง และจีนไม่น่าจะเล่นเกมนี้ และได้มีการสั่งแบนบิทคอยน์หรือเงินคริปโตที่เป็นโครงการลับของสหรัฐเพื่อป่วนเสถียรภาพของระบบการเงินโลก จีนไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรมากกับSDR หรือต้องคอยกินน้ำใต้ศอกของลอนดอนและวอลล์สตรีทไปเรื่อยๆ จึงหันไปสร้างโครงสร้างสถาปัตยกรรมการเงินใหม่ผ่านAIIBและโครงการเส้นทางสายไหม และจะผลักดันหยวนดิจิตัลขึ้นมารับบทบาทมากขึ้นในเวทีการเงินระหว่างประเทศ พร้อมๆกับความเข้มของของจีนในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความสมดุลของอุปสงค์ภายในประเทศและภาคการส่งออก (dual circulation) เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐ หรือลดแรงกระแทกจากวิกฤติจากภายนอก
ปี 2025 จะเป็นปีที่น่าจับตามองความพร้อมของจีนในการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก เพราะว่าจะเป็นปีสิ้นสุดของแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ (2021-2025) มีการประเมินแล้วว่าจีนจะมีขนาดจีดีพีถึง$22.48 ล้านล้านเมื่อจบแผน หรือเทียบเท่าขนาดจีดีพีของสหรัฐในเวลานี้
ที่สำคัญ แผนMade in China 2025 ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปี 2015 เพื่อให้จีนลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของต่างชาติ หรือสร้างความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีจะมีการประเมินผลให้ชัดเจนว่าจีนมีความก้าวหน้าเพียงใดในการพัฒนา10เซ็คเตอร์ คือเครื่องมือ หุ่นวนต์ เทคโนโลยีอวกาศ ยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์อีเลคโทรนิกส์ เครื่องจักรกลทางเกษตร อุปกรณ์ระบบรางรถไฟ พลังงานทางเลือกและรถยนต์ไฟฟ้า วิศวกรรมด้านมหาสมุทร
สหรัฐสกัดจีนทางเศรษฐกิจ และการค้าไม่อยู่จึงพยายามหาทางขอความร่วมมือจีนให้แบ่งเค้กทางการเงินกัน หรือร่วมมือกันในการรีเซ็ตระบบการเงินโลก หรือสร้างระบบการเงินโลกใหม่ในระดับของการเปลี่ยนแปลงเทียบเท่าBretton Woodsในช่วงหลังสงครามดลกครั้งที่ 2 เมื่อจีนไม่เล่นด้วย จึงมีการหาเรื่องจีนทางสงครามการค้า สงครามภาษี สงครามเทคโนโลยี กล่าวหาว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ก่อสงครามไซเบอร์โจมตีจีนเรื่องสิทธิมนุษยชนในซินเจียง เรื่องประชาธิปไตยในฮ่องกง แนะหนุนหลังให้ไต้หวันก่อหวอดแยกตัวเป็นรัฐอิสระ พร้อมกันนี้ได้ยาตราทัพเต็มศึกเข้ามาในภูมิภาคอินโด-แปซิคเพื่อปิดล้อมจีน ขู่ที่จะก่อสงคราม และขู่บังคับประเทศต่างๆให้เลือกข้างว่าจะเอาระบบเสรีนิยมของสหรัฐ หรือจะเอาระบบคอมมิวนิสต์ของจีน
การเจรจาเรื่องGlobal Reset จึงจะเป็นทางออกทางเดียวว่ามหาอำนาจโลกตะวันตกและจีนจะแบ่งอำนาจการดูแลระเบียบการเงินโลกอย่างไร เพื่อเลี่ยงการทำสงครามฮ็อตวอร์ โลกตะวันตกจะเสนออะไรให้จีน จีนจะตอบรับอย่างไร จะสามารถประนีประนอมกันได้ไหมเป็นเรื่องที่เราจะต้องดูกันต่อไปโดยไม่กระพริบสายตา
16/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/377937087034282
30. สหรัฐ vsจีน: ใครพึ่งพาใคร
นายHenry Luce เจ้าพ่อสื่อสิ่งพิมพ์สหรัฐประกาศในปี 1941 สหรัฐมีโชคชะตาที่จะเป็นมหาอำนาจของโลก โดยเรียกศตวรรษที่ 20 ว่าเป็นศตวรรษของอเมริกา (American Century)
หลังจากที่เอาชนะสหภาพโซเวียตได้ในสงครามเย็นในปี 1991 สหรัฐออกมาแสดงความรู้สึกลิงโลดใจอย่างไม่ปิดบังว่า สหรัฐได้กลายเป็นอาณาจักรโรมใหม่ที่เกรียงไกร และเป็นมหาอำนาจโลกแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีประเทศใดเทียบเคียงได้
ในปี2018 นายJeffrey Sachs อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียให้ความเห็นในบทสัมภาษณ์เรื่องThe End of American Exceptionalismว่า การที่ประเทศสหรัฐที่มีประชากรเพียง4.4% กว่าของประชากรโลก จะออกมาทึกทักว่าเป็นมหาอำนาจโลก หรือจะเป็นผู้นำโลกแต่ผู้เดียวเป็นสิ่งที่ไร้เดียงสา หรือเป็นเรื่องที่อันตรายก็ว่าได้
Jeffrey Sachs ย้ำว่า ความคิดที่ว่าสหรัฐยิ่งใหญ่เหนือกว่าใครๆสะท้อนจากแนวความคิดทางประวัติศาสตร์ที่มีมานานว่าสหรัฐเป็นประเทศที่พิเศษ (Exceptional)ที่ไม่เหมือนใครทำให้มีการขยายอำนาจเกินขอบเขต อันเห็นได้จากการสร้างฐานทัพมากว่า700แห่งใน70ประเทศ และก่อสงครามตลอดเวลาไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นที่อัฟกานิสถาน อิรัค ลิเบีย มีการใช้โดรนในการทำสงครามบนดินและสงครามลับในแอฟริกา การทำสงครามอย่างนี้ทำให้สหรัฐสร้างภัยอันตรายให้กับตัวเอง
Jeffrey Sachsบอกต่อไปว่า นโยบายการทำสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นของสหรัฐก่อให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระงบประมาณทางทหารที่ต้องมีการก่อหนี้เพื่อใช้จ่ายอย่างมหาศาลทุกปี ไม่นับงบประมาณที่ต้องดูแลทหารผ่านศึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสวัสดิภาพและการรักษาพยาบาล สหรัฐเข้าสู่สงครามในดินแดนที่ไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าจะเป็นซีเรีย หรือพื้นที่อื่นๆในตะวันออกกลาง ในขณะเดียวกันบทบาทของสหรัฐในเศรษฐกิจโลก การเงิน หรือเทคโนโลยีที่เคยยิ่งใหญ่กำลังเสื่อมถอยลง เพราะว่าประเทศอื่นกำลังไล่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเงิน
แต่สหรัฐยังคงยึดติดกับภาพลวงตาของความยิ่งใหญ่ในอดีต หรือความเป็นประเทศที่โลกขาดไม่ได้จากความเชื่อมั่นในแสนยานุภาพทางทหารจึงดำเนินนโยบายที่ทำร้ายตัวเอง คือการก่อสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีกับจีนทั้งๆที่ควรจะหันกลับมาพัฒนาตัวเอง หรือหาทางร่วมมือกับจีนในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการอพยพหนีสงคราม หรือความยากจนของคนที่บ้านแตกสาแหรกขาด https://www.youtube.com/watch?v=kZU0IXO7AQw&t=95s
เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นประเทศที่พิเศษ (Exceptional) แล้วสหรัฐยอมไม่ได้ที่จะเห็นจีนมีแนวโน้มว่าจะเจริญก้าวหน้ากว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเงินและเทคโนโลยี เพราะต้องรักษาความเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียวตลอดไปให้ได้ จึงทำให้เกิดสงครามการค้ากับจีนตามมา มีการอ้างการละเมิดสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในซินเจียง และฮ่องกงของรัฐบาลจีนเพื่อแซงชั่นจีน การหนุนให้ไต้หวันปลดแอกจากจีน และล่าสุดที่กำลังเป็นประเด็นฮ๊อตคือการใช้การกองทัพเรือเพื่อข่มขู่จีน โดยใช้ทะเลจีนใต้ และทะเลจีนตะวันออกเป็นเวทีประลองกำลังภายในกับจีนในเวลานี้
ในทางการทหาร สหรัฐมีแนวความคิด (military doctrine)ที่อันตรายว่าสามารถก่อสงคราม2 ด้าน คือกับรัสเซียและจีนพร้อมๆกันและสามารถเอาชนะได้ ไม่รู้ว่าเป็นการปล่อยข่าวหรือไม่ แต่เวลานี้เทคโนโลยีทางทหาร รวมท้ังขีปนาวุธที่มีความเร็วแบบซุปเปอร์โซนิกของรัสเซียและจีนมีอานุภาพทำลายสูง ทำให้รัสเซียและจีนไม่ได้มีความหวั่นเกรงกลัวสหรัฐแต่ประการใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนในวันนี้ ไม่ใช่จีนเมื่อ10ปี หรือ 20ปีที่แล้ว
ในเอเชียสหรัฐไม่ได้ตั้งใจลุยเดี่ยว แต่กำลังรวบรวมแกนนำขององค์กรความร่วมมือทางทหารนาโต้ที่มีสมาชิก30ประเทศมาร่วมวงด้วย หลังจากที่มีการตั้งกลุ่มQuad โดยมีสหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่นและออสเตรเลียเพื่อปิดล้อมจีน และกำลังเอาวัคซีนไฟเซอร์มาหลอกล่อให้อาเซี่ยนตายใจจะได้เข้าร่วมวงปิดล้อมจีนด้วย เพราะว่าอาเซียนเป็นยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ทางทหารที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมนี้ สหรัฐมีการซ้อมรบใหญ่กับพันธมิตรทางทะเล โดยมีประเทศเข้าร่วมคือญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอังกฤษภายใต้การบัญชาการของ ศูนย์ US Indo-Pacific Command มีการคุยโวว่า การซ้อมรบขนานใหญ่แบบเต็มพิกัดครั้งนี้ เพื่อแสดงให้รัสเซียและจีนเห็นว่ากองทัพของสหรัฐและพันธมิตรสามารถรับศึกได้ในทะเลดำ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออกได้พร้อมๆกัน
สหรัฐมีการส่งฝูงเรือบรรทุกเครื่องบิน และเรือรบเข้ายั่วยุจีนไม่ว่าจะที่ทะเลจีนใต้และที่ทะเลจีนตะวันออก โดยสนับสนุนไต้หวันให้กระด้างกระเดื่องต่อจีนอย่างออกหน้าออกตา ผู้นำไต้หวันก็เอากับเขาด้วย ส่วนอังกฤษได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินHMS Queen Elizabethเดินทางผ่านช่องแคบมะละกาเข้าทะเลจีนใต้ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปฟิลิปปินส์เพื่อแสดงพลังให้จีนเห็น
ส่วนเยอรมันก็มีการส่งเรือรบมาเอเชียเหมือนกันเป็นคร้ังแรกในรอบหลาย10ปี แต่มาเหมือนอย่างเสียไม่ได้ เพราะว่ามีการขอจอดแวะไปกินน้ำชาที่ท่าเรือเซี่ยงไฮ้อีกด้วย ทางจีนตอกเยอรมันกลับมาจะมาดีหรือมาร้าย เพราะว่ากระทรวงกลาโหมเยอรมันเดินทชตามนาโต้ ในขณะที่นางแองเกลล่า เมอร์เกิ้ลผู้นำเยอรมันไม่ต้องการเผชิญหน้ากับจีน แต่ต้องการคบค้าสมาคมท้ังกับจีนและรัสเซีย เนื่องจากเยอรมันเองมีบัญชีที่ต้องคิดกับอังกฤษที่ทำลายเยอรมันทั้งในสงครามโลกคร้ังที่ 1 และที่2
ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสและดัชท์ก็มีการส่งเรือรบมาทะเลจีนใต้เหมือนกันเพื่อโชว์เพาว์ให้จีนเห็น
อินเดียก็มีแผนที่จะส่งเรือรบเข้าทะเลจีนใต้เพื่อแสดงแสนยานุภาพในภูมิภาค เพราะนโยบายอินเดียในตอนนี้ไม่เอาจีน ทำให้ความมั่นคงในภูมิภาคยิ่งมีความอ่อนไหวมากขึ้น
https://www.ndtv.com/india-news/ahead-of-indian-navy-expedition-china-begins-drills-in-south-china-sea-2504608 จีนกำลังถูกรุมกินโต๊ะเหมือนในสงครามกับพันธมิตร8ชาติในปี 1900 ที่เยอรมันนี รัสเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ อิตาลี และออสเตรีย-ฮังการีส่งกองทหารรวมกัน46,000นายเข้าไปปราบกบฎนักมวยที่ทางราชวงศ์ชิงให้การสนับสนุนเพื่อต่อต้านอิทธิลของต่างชาติที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากการค้ากับจีนอย่างไม่เป็นธรรม ปรากฎว่า พวกกบฎนักมวยแพ้ทำให้ราชวงศ์ชิงต้องชดใช้ค่าปฏิกรณ์สงครามให้ต่างชาติจนเงินในท้องพระคลังแทบไม่เหลือ https://en.wikipedia.org/wiki/Eight-Nation_Alliance
ต้องจับตาดูว่า ประเทศใดในกลุ่มประเทศอาเซี่ยนจะให้ความร่วมมือ หรือจะร่วมวงในการซ้อมรบกับสหรัฐและพันธมิตร ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นเท่ากับว่าแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนอย่างเปิดเผย
สื่อThe Global Timesของรัฐบาลจีน เขียนบทบรรณาธิการว่า จีนและรัสเซียมีการร่วมซ้อมรบกันอยู่เหมือนกันและไม่ได้มีความเกรงกลัวต่อกองทัพสหรัฐแต่ประการใด เทคโนโลยีการรบสมัยใหม่สามารถทำลายทุกเป้าหมายได้ในระยะทางที่กำหนด ถ้าหากสหรัฐก่อสงครามกับรัสเซียและจีน กองทัพเรือสหรัฐจะไม่สามารถต้านทานอาวุธของรัสเซียและจีนได้ เนื่องจากกองทัพเรือเป็นเพียงแค่การโชว์ฟอร์ม หรือข่มขู่เท่านั้น แต่เอาเข้าจริงจะกลายเป็นเป้านิ่งให้กับขีปนาวุธซุปเปอร์โซนิกไร้เทียมทานที่ยิงออกไปไม่กี่อึดใจก็ถึงเป้าหมายแล้ว “ถ้าสหรัฐวางกำลังทหารในทะเลจีนใต้ ไม่ว่าจะส่งเรือรบมามากเพียงใด เรือรบเหล่านั้นจะเปรียบเหมือนกระต่ายที่มางานเลี้ยงปาร์ตี้ ในขณะที่ถูกปืนของจีนเล็งไปที่เป้า” The Global Timesรายงาน
https://www.globaltimes.cn/page/202108/1230616.shtml
แม้ว่าเรื่องการเตรียมการศึกสงครามจะดูคึกคัก แต่เราต้องติดตามเรื่องเงินๆทองๆที่มีความสำคัญมากกว่า (Follow the money) เมื่อไม่กี่วันวมานี้ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ มีการหารือวางแผนเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งของจีนในอีกหลายเดือนข้างหน้า โดยแผนการดังกล่าวยังคงอยู่ในช่วงของขั้นตอนการเตรียมการ โดยอาจจะมีการพบปะกับรองนายกรัฐมนตรี หลิวเฮอ ของจีนด้วย
รายงานระบุว่า หากมีการเยือนเกิดขึ้นจริง เยลเลนจะกลายเป็นบุคคลที่มีสถานะตำแหน่งสูงสุดในรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เดินทางเยือนจีน
มีการมองกันว่าเยลเลนจะเดินทางมาจีน เพื่อเป็นการส่งสัญญาณแสดงท่าทีของสหรัฐฯ ที่ต้องการยกระดับการสื่อสารกับจีน แม้ว่าจะคาดหวังให้จีนเป็นฝ่ายรุกและเชิญสหรัฐฯ ไปพูดคุยกันก่อน
เกา หลิงหยุน (Gao Lingyun) ผู้เชี่ยวชายด้านการค้าแห่งสถาบันด้านสังคมศาสตร์ในกรุงปักกิ่งให้ความเห็นที่น่าสนใจว่าเยลเลนน่าจะหยิบยกขึ้นมาหารือกับจีนก็คือปัญหาหนี้ของสหรัฐฯ ที่เยลเลนน่าจะขอให้จีนช่วยเสริมความเชื่อมั่นด้วยการเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อไป โดยแลกกับการที่สหรัฐฯ จะผ่อนคลายนโยบายการค้าและกำแพงภาษี
ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังจีนลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลงคิดเป็นมูลค่ารวม 26,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
https://thestandard.co/janet-yellen-plans-to-visit-china-for-trade-dispute
นอกจากเรื่องรีไซเกิ้ลดอลล่าร์แล้วที่จีนต้องการเลิกเล่น และหาทางดั๊มดอลล่าร์ออกไป เยลเลนต้องอยากจะคุยกับนายหลิว เหอที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงว่า จะเอาอย่างไรเรื่องเงินสกุลหลักของโลก จะยอมไหมถ้าสหรัฐขอเป็นผู้นำต่อไปผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือหยวนดิจิตัลจะวางบทบาทอย่างไร จะแบ่งเค้กกันอย่างไร ในขณะเดียวกันช่วยประคับประคองรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กงเต๊กต่อไปสักพักนะ ขอเวลาให้ลุงไบเดนได้ตั้งหลักก่อน
ถ้าตกลงเรื่องเงินๆทองๆนี้ได้ ความตึงเครียดทางสงครามระหว่างมหาอำนาจละลดลง เพราะว่าไวรัสโควิดได้ทำหน้าที่ก่อสงครามเชื้อโรคแทนสงครามฮ๊อตวอร์ไปแล้ว
15/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/377443280416996
คิดว่าจะเขียนอีก3 ตอนจะได้ปิดฉากซีรีส์ "สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร" โดยตอนต่อไปจะเขียนเรื่องจุดจบของAmercian Exceptionalism หรืออุดมการณ์ที่เชื่อว่าสหรัฐเป็นประเทศที่วิเศษกว่าประเทศใดๆในโลก
ตามมาด้วยเรื่องเงินหยวน บทบาทของทองคำที่จะแข่งกับglobal reset ท่ามกลางกระแสเงินคริปโตว่าจะออกมาในรูปใด
ก่อนปิดซีรี่ส์ด้วยเศรษฐกิจของการให้หรือการแบ่งปัน (The economics of giving) ต่างกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่เอาเงินตราเป็นตัวตั้ง หลงมัวเมาในกิเลสและอำนาจ โดยจะมีหลักเมตตาธรรมะเป็นเครื่องค้ำจุนโลก เพื่อนำพาโลกสู่สังคมของพระศรีอริยะอันเป็นนิวเวิร์ลออร์เดอร์ฉบับแท้ดั้งเดิม
โปรดติดตาม เพราะว่านานๆทีถึงจะปล่อยของออกมาเต็มพิกัดแบบนี้ 15/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/377278230433501
29. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
ในบทนี้ เรามาดูท่าทีของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีจุดยืนต่อความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนในการช่วงชิงการเป็นมหาอำนาจในศตวรรษที่ 21อย่างไร ในขณะที่จีนดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเป็นมหาอำนาจ แต่สหรัฐยังคงเน้นนโยบายการทหารที่สั่งสม หรือทำสงครามมาเรื่อยๆตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2ไม่ว่าจะเป็นสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามยูโกสลาเวีย สงครามในตะวันออกกลาง สงครามในแอฟริกาทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยอีกนับไม่ถ้วน
ดูเหมือนว่า สหรัฐจะให้ความสำคัญในตะวันออกกลางน้อยลง แต่มาให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโดแปซิฟิคแทน โดยได้จัดตั้งกลุ่ม4เกลอ คือสหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลียแล้วเพื่อสร้างความร่วมมือทางความมั่นคงและทางทหารเพื่อที่จะปิดล้อมจีน หรือเพื่อต่อรองกับจีนในวาระการรีเซ็ตระเบียบโลก (Global Reset) ท่ามกลางไวรัสที่ปลิวว่อนรอบโลก ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการรีเซ็ต
ส่วนที่ยุโรป นาโต้ก็ยังคงเดินหน้าปิดล้อมรัสเซีย เหมือนกับว่าสหรัฐต้องการเปิดศึก2ด้าน ซึ่งไม่น่าที่จะเป็นไปได้
ส่วนพื้นที่เอเชียเหนือ สหรัฐมีพันธมิตรหลักคือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เพราะมีฐานทัพสหรัฐอยู่ในทั้ง2ประเทศ และสหรัฐกำลังเข้ามาถือหางกับไต้หวันเพื่อยุยงให้ปลดแอกจากจีน หรือยั่วยุให้จีนใช้กำลังเข้าไปบุกยึดไต้หวันเพื่อที่จะจุดปะทุสงคราม เกาหลีใต้อยู่ในฐานะที่ลำบากใจมาก เพราะว่าไม่ต้องการรบกับเกาหลีเหนือเพราะว่าเป็นพี่น้องร่วมชาติเผ่าพันธุ์กัน ในขณะเดียวกันสู้รบกับจีนมีแต่จะหายนะ แค่จีนจามทีเดียวก็หายไปทั้งประเทศ
ส่วนญีปุ่่นเองมองจีนเป็นศัตรูคู่แข่ง กลัวว่าจีนจะเอาคืนเนื่องจากในอดีตญี่ปุ่นเคยรุกรานกดขี่จีนมาก่อน ญีปุ่่นยอมอยู่ใต้ร่มเงาของสหรัฐมาตลอดตั้งแต่หลังสงครามโลก โดยไม่มีทางดิ้นหลุดออกไปได้
ล่าสุดญี่ปุ่นออกมาหนุนไต้หวันอย่างเปิดเผย โดยประกาศว่าจะช่วยไต้หวันถ้าหากว่าถูกจีนรุกราน โดยรองนายกรัฐมนตรีญีปุ่่นนายทาโร่ อาโซะได้ออกมาบอกว่า ญี่ปุ่นต้องยืนมือเข้าช่วยไต้หวัน ถ้าไต้หวันถูกจีนรุกราน เพราะว่าถ้าไต้หวันตกเป็นของจีน หมู่เกาะโอกินาวาของญี่ปุ่นจะเป็นเป้าต่อไปของจีน
https://www.nbcnews.com/news/world/japan-must-defend-taiwan-if-china-invades-deputy-prime-minister-n1273196
กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างรุนแรงให้เลือกข้างระหว่างความขัดแย้งของวอชิงตันและปักกิ่งในพื้นที่อินโดแปซิฟิค โดยจะวางตัวเป็นกลางยากลำบากขึ้น หรือแทบที่จะเป็นไปไม่ได้
สหรัฐใช้ฟิลิปปินส์เป็นด่านหน้า หรือทัพหน้าในการประลองเชิงกับจีน จากการที่ฟิลิปปินส์มีความขัดแย้งกับจีนในสิทธิ์การครอบครองหมู่เกาะในทะเลจีนใต้
ประธานาธิบดี โรดรีโก้ ดูเตอร์เต้ของฟิลิปปินส์เต้นแร้งเต้นกาเล่นละครมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อหลบหลีกแรงกดดันจากสหรัฐให้ฟิลิปิินส์มีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์กับจีนโดยตรง ดูเตอร์เต้พยายามสร้างสัมพันธ์กับรัสเซียและจีนเพื่อถ่วงดุลสหรัฐ แต่ไม่เป็นผลเพราะว่าทหารฟิลิปปินส์ได้ประโยชน์จากเงินช่วยเหลือของเพนตากอน ฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ การที่จะสลัดอิทธิพลของสหรัฐทางต่างประเทศ หรือทางทหารเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะว่ากลุ่มผลประโยชน์ของฟิลิปปินส์ได้ประโยชน์จากสหรัฐมาก
แต่นายดูเตอร์เต้ก็พูดจาแบบไม่เกรงใจใคร เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาพูดจากแบบเหน็บแนมว่า ถ้าวอชิงตันต้องการให้ฟิลิปปินส์สู้รบกับจีน เมื่อนั้นกองทัพสหรัฐฯก็ควรออกหน้าและเปิดฉากยิงเป็นคนแรก พร้อมกล่าวหาอเมริกากำลังใช้พันธมิตรทั้งหลายเป็นเหยื่อล่อปักกิ่ง
"อเมริกาพยายามผลักดันเราอยู่ตลอด กระตุ้นเรา เอาผมเป็นเหยื่อล่อ คุณเห็นคนฟิลิปปินส์เป็นอะไร เป็นแค่ไส้เดือนงั้นหรือ?" ดูเตอร์เตกล่าวระหว่างปราศรัยที่จังหวัดเลย์เต เมื่อไม่นานมานี้ "ตอนนี้ ผมขอบอกว่า ขนเครื่องบินของพวกคุณ เรือรบของพวกคุณมาทะเลจีนใต้เลย เปิดฉากยิงเป็นคนแรก และเราจะอยู่ที่นี่ ข้างหลังคุณ เอาเลย สู้รบกัน" เขากล่าว "คุณต้องการปัญหานักใช่ไหม? โอเค งั้นก็เอาเลย"
ประธานาธิบดีรายนี้บอกต่อว่าสหรัฐฯรู้ดีเกี่ยวกับกรณีที่จีนกำลังสร้างเกาะเทียมต่างๆ และกองทัพเรือสหรัฐฯเองก็มีกองเรือที่ 7 ประจำการอยู่ในญี่ปุ่น "ทำไมพวกเขาไม่ส่งกองเรือไปยังสแปรตลีย์และบอกว่าเฮ้ พวกคุณ พวกคุณไม่ควรสร้างเกาะเทียมในทะเลหลวง ซึ่งถูกห้ามภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และความจริงก็คือคุณกำลังก่อสร้างภายในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเพื่อนของเรา ฟิลิปปินส์?" ดูเตอร์เตตั้งคำถาม "สหรัฐฯปล่อยให้พวกเขาสร้าง ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ที่นั่น ทั้งปืนและขีปนาวุธ"
ดูเตอร์เต้ย้ำอีกว่า "เราไม่อาจเป็นฝ่ายชนะในการทำสงครามกับจีน" ประธานาธิบดีรายนี้ระบุ "ผมไม่อาจสั่งทหารของผมไปยืน
https://mgronline.com/around/detail/9620000065526
ส่วนนายหลี เซียนหลุง ผู้นำของสิงคโปร์ได้ออกมาเตือนท่าทีที่สหรัฐมีต่อจีน โดยย้ำว่า ไม่มีใครชนะใครได้
ในการประชุม Aspen Security Forumเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายหลีกล่าวว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวของสหรัฐที่ท้าทายจีนอาจเป็นอันตรายมาก และเตือนให้ทั้งสองประเทศลดความตึงเครียดระหว่างกันเพราะไม่มีใครสามารถเอาชนะใครได้
ลีเผยว่า สหรัฐเปลี่ยนท่าทีจากการแข่งขันกับจีนที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายมาสู่มุมมองที่ว่าสหรัฐจะต้องชนะไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ลีเผยต่อว่า “วันนี้มีฉันทามติของสองพรรคการเมือง (สหรัฐ) ในเรื่องหนึ่งนั่นคือ ความสัมพันธ์กับจีน แต่ท่าทีของพวกเขาคือ ใช้แนวทางแข็งกร้าว และผมไม่แน่ใจเลยว่านี่เป็นฉันทามติที่ถูกต้อง ผมไม่รู้ว่าสหรัฐตระหนักหรือเปล่าว่าจะต้องเจอกับปรปักษ์ที่น่าเกรงขามหากพวกเขาตัดสินใจว่าจีนเป็นศัตรู”
“ในสถานการณ์นี้ ผมขอฝากไปถึงทั้งสองฝ่ายว่าให้หยุดแล้วคิดอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเดินหน้าต่อ มันอันตรายมาก” ลีกล่าว “เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่สหรัฐและจีนต้องพยายามมีปฏิสัมพันธ์กันไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งซึ่งจะเป็นหายนะกับทั้งสองฝ่ายและกับโลก”
https://www.posttoday.com/world/659813
อาเชี่ยนอยู่ในฐานะที่ลำบากใจมาตลอดให้เลือกข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ในขณะที่สหรัฐมีความสัมพันธ์กับอาเซี่ยนมานานในด้านความมั่นคง แต่จีนได้กลายเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน ความมั่งคั่งของอาเซี่ยนต่อไปจะผูกกับการเจริญเติบโต และเทคโนโลยีของจีนที่มีดินแดนที่ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน ในขณะที่สหรัฐอยู่ทวีปอเมริกาเหนือและมีนโยบายต่ออาเซียนที่ไม่แน่นอน
อาจารย์Khong Yuen Foong แห่งสำนัก Lee Kuan Yew School of Public Policyได้ออกมาบอกว่า ประโยคที่ผู้นำอาเชี่ยนชอบพูดกันว่า "อย่าได้บีบบังคับเราให้เลือกข้าง"ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้ต่อไป เพราะว่าความตึงเครียดระหว่าง2มหาอำนาจมีสูงขึ้นเรื่อยๆ
อาจารย์Khongให้ความเห็นว่า กัมพูชาและลาวมีการดำเนินนโยบายที่ใกล้ชิดกับจีน เพราะฉะนั้นน่าที่จะเป็นพันธมิตรกับจีนเป็นแม่นมั่น ส่วนเวียดนามและสิงคโปร์มีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐอย่างชัดเจน ส่วนไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลย์เซียได้ย้ายจุดยืนมาอยู่ในวงจรของอิทธิลของจีนมาได้พักใหญ่แล้ว คงเหลือแต่อินโดเนเซียเท่านั้นที่ยังไม่วางท่าทีที่ชัดเจนในความขัดแย้งของมหาอำนาจ อาจารย์Khongลืมประเมินท่าทีของพม่าว่าจะเอาอย่างไร
https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3128986/us-china-rivalry-pressure-asean-countries-choose-sides
สิ่งที่อาจารย์Khong วิเคราะห์ไม่น่าจะถูกต้องท้ังหมด จริงอยู่ที่ลาวและกัมพูชาจะเลือกที่จะอยู่ฝ่ายจีนและพม่าจะอยู่ฝ่ายจีนแน่นอน100%หลังจากทหารพม่าก่อรัฐประหารเพื่อล้มอำนาจของนางอองซาน ซูจีที่มีแนวโน้มจะผลักดันให้พม่าไปอยู่ฝั่งสหรัฐ
ส่วนเวียดนาม สิงคโปร์ มาเลย์เซีย อินโดเนเซียเลือกข้างอยู่ฝ่ายสหรัฐค่อนข่างแน่นอน จะเห็นได้ว่าพลเมืองของมาเลย์เซีย และอินโดเนเซียเชื้อสายจีนอยู่ประเทศนั้นไม่ค่อยจะเจริญ หรือถูกกีดกัน อีกประการหนึ่ง มาเลย์เซียและอินโดเนเซียเป็นประเทศมุสลิมที่อยู่ฝ่ายเครือข่ายของซาอุดิ อาราเบียที่เป็นเสาหลักของโลกมุสลิมสุหนี่ และเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอย่างเหนียวแน่น
สยามประเทศมีท่าทีอย่างไรต่อความขัดแย้งของมหาอำนาจไม่อยากจะพูด เพราะว่ากำลังเมาหมัด หน้ามืดตามัว
จีนในสมัยของสี จิ้นผิง ไม่เหมือนกับจีนในสมัยผู้นำคนก่อน เพราะว่าเวลานี้มีความเข้มแข็งทางการทหารมาก เทคโนโลยีทางทหารและดาวเทียมของจีนไม่ได้ด้อยกว่าสหรัฐ อาวุธนิวเคลียร์ก็มีพอๆกัน การจับมือเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย อิหร่านและเกาหลีเหนืออย่างเหนียวแน่นทางทหารทำให้สหรัฐและมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆไม่น่าที่จะกล้าลงมือโจมตีจีนด้วยฮ๊อตวอร์อย่างจริงๆ นอกเสียกจากที่ว่าจะยู่จีนเพื่อให้ร่วมแบ่งอำนาจกันในวาระGlobal Resetโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการบริหารเงินสกุลโลกของไอเอ็มเอฟที่จะขึ้นมาแทนยูเอสดอลล่าร์ว่าจะแบ่งเค้กกันอย่างไร
ในชั่วโมงนี้ จีนไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงสหรัฐแต่อย่างใด อันเห็นได้จากคำพูดของนายหวัง ยี รมว ต่างประเทศของจีนที่ออกมาบอกเมื่อเร็วๆนี้ว่า: “สหรัฐใช้กำลังในการกดดันประเทศอื่นๆอยู่เสมอ และคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น แต่ผมขอพูดให้ชัดเจนว่า ไม่เคยมีประเทศที่เหนือกว่าประเทศอื่นในโลกนี้ และมันไม่ควรที่จะมีด้วย ที่สำคัญ จีนจะไม่ยอมรับข้ออ้างประเทศใดที่เหนือกว่าประเทศอื่น เมื่อใดที่สหรัฐไม่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับประเทศอื่นในฐานะที่เท่าเทียมกัน เมื่อนั้นจีนและประชาคมระหว่างประเทศมีความรับผิดชอบร่วมกันที่จะสั่งสอนบทเรียนให้สหรัฐ"
https://www.youtube.com/watch?v=LCrRqvOMz8s
สรุปแล้วอาเซี่ยนที่คุยโม้ว่าจับมือกันเหนียวแน่น10ประเทศเพือรักษาผลประโยชน์ด้านต่างประเทศ ความมั่นคง หรือเศรษฐกิจร่วมกัน เอาเข้าจริงแล้วมีความร้าวฉานภายใน รอวันที่จะแตกหรือล่มสลาย
15/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/377265420434782
28. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
สหรัฐถูกจีนตบหน้าฉาดใหญ่เลยทีเดียวหลังจากที่US News & World Report รายงานว่า จีนเตรียมที่จะรับรองรัฐบาลตอลิบัน หลังจากที่ยึดกรุงคาบูลได้ ในขณะที่โจ ไบเดนกำลังเร่งระดมพลส่งทหารอเมริกันกว่า5,000นายกลับเข้าไปในกรุงคาบูลเพื่อดูความปลอดภัยให้กับสถานทูตอเมริกันและสนามบินเนื่องจากเจ้าหน้่าทางการทูตและสต๊าฟกำลังกำลังเดินทางออกจากอัฟกานิสถานเพื่อปิดฉากความพ่ายแพ้ต่อพวกตอลิบัน และสงครามอัฟกานิสถานที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานถึง20ปี
เมื่อสหรัฐออกจากอัฟกานิสถาน จีนจะเข้าไปเสียบในอัฟกาสถานแทน ก่อนหน้านี้จีนประกาศแล้วว่าจะให้เงินช่วยเหลือ$67,000ล้านในการบรูณะฟื้นฟูประเทศจากภาวะสงคราม ที่ก่อโดยจอร์จ บุช หลังเหตุการณ์911 ในปี 2001
กองทัพของรัฐบาลอัฟกันนำโดยนายกรัฐมนตรี Ashraf Ghaniที่สหรัฐและนาโต้ให้การสนับสนุนไม่อยู่ในฐานะที่จะต้านทานกองทัพของพวกตอลิบันได้ หลังจากที่ไบเดนประกาศว่าสหรัฐจะถอนกองกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานเพื่อปิดฉากสงครามที่ดำเนินมาเป็นเวลา20ปีเต็ม โดยจะถอนทหารออกให้หมดสิ้นภายในวันที่ 11กันยายนปีนี้เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์911
ขณะนี้พวกตอลิบัน ซึ่งมีความคิดที่จะเปลี่ยนอัฟกานิสถานให้เป็นรัฐอิสลามยึดครองดินแดนของประเทศได้ประมาณ80% ก่อนหน้านี้ ฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐประเมินว่า กรุงคาบูลจะแตกใน90วัน เพราะว่าสหรัฐไม่หนุนรัฐบาลอัฟกันอีกต่อไป แต่การรบพุ่งที่ดำเนินมาอย่างดุเดือดในช่วงที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าพวกตอลิบันซึ่งมีทหาร75,000-80,000นายมีความเข้มแข็งมาก สามารถยึดเมืองหลวงของแคว้นต่างๆได้อย่างง่ายดาย ทำให้เป้าหมายในการยึดกรุงคาบูลจะมีระยะเวลาที่เร็วขึ้น ทำให้ไบเดนต้องรีบสั่งการส่งทหารเข้าไปช่วยในการอพยพเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐ และคนอเมริกันที่ตกค้างออกจากอัฟกานิสถานอย่างเร่งด่วนในเวลานี้
ความพ่ายแพ้ของสหรัฐในสงครามอัฟกานิสถานถูกมองว่าเหมือนกับประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับความปราชัยในสงครามเวียดนาม ที่สหรัฐยกเลิกการให้การสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ทำให้คอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือสามารถโจมตีและรุกคืบลงมาทางใต้เพื่อตีกรุงไซง่อนแตกในปี 1975 มีภาพคลาสสิคของเฮลิคอปเตอร์อเมริกันขนย้ายเจ้าหน้าที่ทางการทูตและทหารของสหรัฐบนดาดฟ้าของสถานทูตอเมริกันในเที่ยวบินสุดท้ายออกจากกรุงไซ่ง่อนเพื่อปิดฉากสงครามที่ดำเนินมายาวนานระหว่างปี 1964-1975
ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คณะผู้แทนของตอลิบันได้เดินทางไปยังกรุงปักก่ิงเพื่อพบปะเจรจากับนายหวัง ยี รมว ต่างประเทศของจีน โดยมีนายMullah Abdul Ghani Baradar ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มตอลิบัน ซึ่งสหรัฐบอกว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย อยู่ในคณะด้วย ภาพที่ผู้แทนตอลิบันใส่ชุดแขกพื้นเมืองโพกหัว และรัฐมนตรีหวังถ่ายรูปร่วมกันได้รับการเผยแพร่ทั่วโลกทำให้สหรัฐถึงกับช็อค และต้องเสียหน้าเป็นอย่างมาก
ในการพูดคุย รัฐมนตรีหวังบอกกับพวกตอลิบันว่า ให้ตัดขาดจากกลุ่มก่อการร้ายทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Anti-China East Turkistan Islamic Movementที่มีส่วนทำลายความมั่นคงของจีนที่แคว้นซินเจียง และให้หาทางเจรจากับรัฐบาลอัฟกันเพื่อยุติสงคราม หรือแบ่งอำนาจการปกครองกัน โดยจีนจะให้การสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถานอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูประเทศ นอกจากนี้ รัฐมนตรีหวังยังบอกอีกว่าสงครามอัฟกันถือว่าเป็นความล้มเหลวอีกอย่างหนึ่งของนโยบายแทรกแซงประเทศอื่นของสหรัฐ แต่พวกตอลิบันคงจะไม่เจรจากับนายAshraf Ghaniเพื่อแบ่งอำนาจกันให้โง่ เพราะว่ากองทัพอัฟกันไม่อยู่ในฐานะที่จะต้านทานพวกตอลิบันได้ หลังจากสหรัฐถอดปลั๊คให้การสนับสนุนทหารอัฟกัน คาดว่าอีกไม่นานกรุงคาบูลจะแตก เพราะว่ากองทัพอัฟกันกำลังระส่ำระสาย ขวัญกระเจิง เนื่องจากไม่มีนายใหญ่คุ้มกะลา ทหารอัฟกันกำลังแตกทัพทิ้งอาวุธหนักหนีออกนอกเมือง หรือหนีไปยังประเทศที่มีพรมแดนติดกับอัฟกานิสถาน
พวกตอลิบันก่อตัวเป็นนักรบระหว่างปีคศ 1994ถึง1996 ในการต่อต้านรัฐบาลอัฟกัน ระหว่างปี1996-2001สามารถผันตัวมาปกครองประเทศเป็นรัฐบาลได้ แต่หลังจาก911 พวกตอลิบันสูญเสียอำนาจจากการก่อสงครามของบุช ทำให้ต้องกลายไปนักรบกองโจรไปตั้งแต่ปี 2002ถึงปัจจุบัน แต่เวลานี้ พวกตอลิบันเข้าใกล้ความผันที่จะยึดอำนาจการปกครองคืนมาได้
บุชก่อสงครามอัฟกานิสถานในปี 2001 หลังเหตุการณ์911 โดยกล่าวหาว่าบิน ลาเดน ซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มก่อการร้ายอัล เคด้าอยู่เบื่้องหลัง ทั้งๆที่อัล เคด้าได้รับการเทรนจากพวกซีไอเอ บุชสั่งบอมบ์อัฟกานิสถาน โดยอ้างว่าอัฟกานิสถานให้ที่พักพิงกับบิน ลาเดน ซึ่งเป็นการเปิดฉากสงครามเพื่อสร้างอิทธิพลในตะวันออกกลาง และแอฟริกาอย่างเป็นทางการของสหรัฐ ก่อนที่จะรุกคืบไปสร้างอิทธิพลในเอเชียกลางเพื่อปิดล้อมรัสเซียและจีนต่อไป
มีรายงานของนายพลWesley Clarkของกองทัพสหรัฐ ว่าก่อนเหตุการณ์911 เพนตากอนมีแผนที่จะทำสงครามใน7ประเทศคือ อิรัค ซีเรีย เลบานอน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ก่อนที่จะปิดเกมที่อิหร่าน เจ้าหน้าที่ระดับของของเพนตากอนที่เอาเมมโมลับนี้มาเปิดเผยให้นายพลคล๊าคทำหน้างุนงงเหมือนกัน เพราะไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากที่เพนตากอนคิดทำสงครามกับ7ประเทศนั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่911เป็นการสร้างสถานการณ์เองของรัฐบาลเงาของสหรัฐเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำสงครามในตะวันออกกลาง
อัฟกานิสถานไม่ได้อยู่ในแผนเดิมของสหรัฐในการก่อสงคราม แต่บุชเริ่มก่อสงครามตะวันออกกลางที่นั่นเพื่อเข้าไปสวมรอยอิทธิพลของรัสเซียที่พ่ายแพ้ในสงครามอัฟกันระหว่างปี1979-1989 โดยสหรัฐ อังกฤษ ปากีสถาน ซาอุฯให้การสนับสนุนพวกมูจาฮีดีนในการต่อต้านรัสเซียที่เข้ามาช่วยรัฐบาลอัฟกันรบพวกอิสลามหัวรุนแรง ที่สำคัญอัฟกานิสถานที่แหล่งแร่แร่เอิร์ท โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูเรเนียม เพื่อเอาไปทำนิวเคลียร์ และเป็นแหล่งผลิตฝิ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปรากฎว่าการผลิตฝิ่น หรือยาเสพติดของอัฟกานิสถานเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่สหรัฐครอบครองประเทศ
สหรัฐเป็นประเทศที่มีการขาดดุลชำระเงินอย่างมหาศาล ดุลชำระเงิน balance of paymentsสะท้อนการเคลื่อนไหวของเงิน เงินไหลออกมากกว่าเงินไหลเข้าประเทศเรียกว่าดุลชำระเงินติดลบ ถ้าไหลเข้ามากกว่าเรียกว่าดุลชำระเงินเป็นบวก ดุลชำระเงินที่ติดลบมากๆจะทำให้ค่าเงินอ่อน เงินเฟ้อสูง และจะทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ดุลชำระเงินที่ติดลบมากเพราะว่าสหรัฐมีการก่อสงครามตลอดเวลา ต้องใช้จ่ายงบประมาณทางทหารสูงที่สุดในงบประมาณประเทศ ด้วยเหตุนี้สหรัฐจึงต้องสร้างตลาดทุนเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลก และสร้างดีมานด์เทียมสำหรับดอลล่าร์ด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลให้ประเทศต่างๆถือเพื่อเป็นการรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับเพื่อลดแรงกดดันของดุลชำระเงินที่ติดลบ
นอกจากนี้สหรัฐมีแคมเปญลับให้เงินที่ผิดกฎหมายหรือเงินใต้ดินในประเทศต่างๆทั่วโลกblack moneyสามารถฟอกเงินได้ผ่านเกาะฟอกเงินทั้งหลายที่สหรัฐคุมแล้วขนเข้าลงทุนในสหรัฐเพื่อแก้ปัญหาดุลชำระเงินติดลบของสหรัฐ เงินจากยาเสพติดก็อยู่ในข่ายนี้ ทำให้สหรัฐมีปัญหายาเสพติดมาก แก้ไม่ตก เพราะว่าไม่ได้แก้จริงๆจังๆนั่นเอง เพราะว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงมาก
แม้ว่าจะมีการจัดฉากโดยโอบามาใน ปี2011 ว่าหน่วยซีลของสหรัฐจู่โจมเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งในปากีสถานเพื่อสังหารบิน ลาเดน แล้วรีบเอาศพไปถ่วงทะเล เท่ากับว่าภาระกิจสงครามในอัฟกานิสถานยังคงไม่จบสิ้น ในสัมยโอบามา ทหารอเมริกันเข้าไปรบในอัฟกานิสถานมากที่สุดถึง100,000นาย แสดงว่าผลประโยชน์ลับในอัฟกานิสถานมีมากมายมหาศาล
แต่มาถึงสมัยทรัมป์และไบเดน สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงสำหรับสหรัฐที่เริ่มที่จะต้านทานพวกตอลิบันไม่ได้เมื่อประเมินว่าทำสงครามในอัฟกานิสถานต่อไปไม่คุ้ม ไบเดนจึงประกาศยอมถอนทหารออก เพราะว่าตอลิบันน่าจะได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน รัสเซีย และอิหร่าน ทำให้อัฟกานิสถานเป็นสงครามตัวแทนที่คลาสสิคอีกสงครามหนึ่งที่มีการสลับขั้วกันไปมา โดยจีนน่าที่เข้ามาเติมเต็มทีหลัง เพราะจีนก็มีพรมแดนติดกับอัฟกานิสถานเล็กน้อยทางทิศตะวันตกของประเทศ
มาดูตัวเลขความเสียหายอันเกิดจากสงครามอัฟกันที่บุชสวมบทพระเอกเคาบอยเปิดฉากก่อสงคราม แล้่วให้ไบเดนรับบทเป็นผู้ร้ายที่ยอมแพ้ยกธงขาว จากนโยบายสงครามที่ร่วมมือกันสนับสนุนร่วมกันทั้งจากพรรครีพับบลีกันและพรรคเดโมแคต ที่เทิดทูนเพนตากอนเหนือหัว
ณ เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทหารอเมริกันเสียชีวิตในสงครามอัฟกัน2,448นาย ทหารรับจ้างของสหรัฐเสียชีวิต3,846นาย ทหาร และตำรวจอัฟกันตาย66,000นาย ทหารจากพันธมิตรนาโต้ตาย1,144นาย พลเรือนอัฟกันตาย 47,245คน ทหารตอลิบันและนักรบอื่นๆตาย51,191คน เจ้าหน้าที่ดูแลความช่วยเหลือตาย444คน นักข่าว สื่อมวลชนตาย72คน
เงินที่สหรัฐใช้จ่ายในสงครามอัฟกันและสงครามอิรัคที่บุชก่อเป็นประเทศต่อมาในปี 2003อยู่ที่ $2ล้านล้าน แต่เงินที่ใช้เป็นเครดิต หรือเป็นหนี้ทั้งนั้น เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐให้กระทรวงคลังออกบอนด์เพื่อกู้เงินมาก่อสงคราม ทำให้ภาวะดอกเบี้ยจะพุ่งไปถึง$6.5ล้านล้านในปี 2050 แม้ว่าสงครามจะจบ แต่บิลเก็บเงินที่ต้องจ่ายยังทะยอยมาเรื่อยๆ เพราะสหรัฐรับรองดูแลทหารอัฟกันและอิรัคที่บาดเจ็บ พิการ รักษาพยาบาล ฝังศพ 2ล้านคนรวมเป็นเงิน$2ล้านล้าน ไม่นับทหารอเมริกันผ่านศึกที่กลับมาบ้านแล้ว รัฐบาลต้องเลี้ยงดูตลอดชีวิต พร้อมค่าดูแลสุขภาพ
https://www.usnews.com/news/politics/articles/2021-08-14/costs-of-the-afghanistan-war-in-lives-and-dollars
สหรัฐไม่ได้พ่ายแพ้ต่อพวกตอลิบันในสงครามอัฟกัน แต่แพ้ในสงครามตัวแทนที่ฝ่ายตรงข้ามคือรัสเซีย อิหร่าน จีนและปากีสถานได้เข้าร่วมวง
จุดเสื่อมของสหรัฐทางด้านการทหารเริ่มปรากฎชัดในปี2015ที่รัสเซียเข้าไปช่วยรัฐบาลซีเรียรบกับพวกไอซิสที่สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกให้การสนับสนุนหลังจากสหรัฐได้ใจจากสงครามอัฟกัน สงครามอิรัค สงครามลิเบีย สงครามโซมาเลีย สงครามซูดาน เพราะว่ารัสเซียเอาซีเรียอยู่ ซีเรียไม่ล้มตามอิรัค หรือลิเบีย ในขณะเดียวกันอิหร่านมีความเข้มแข็งขึ้น ทำให้สหรัฐยึดอิรัคได้ไม่ถนัดมือ อิทธิพลของอิหร่านในอิรัคซีเรีย เยเมน อัฟกานิสถานเพิ่มขึ้น เรียกได้ว่าดุลอำนาจในตะวันออกกลางกำลังพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ทรัมป์พยายามแก้หน้าให้กับเพนตากอนด้วยการหาเสียงว่าเขาจะถอนทหารอเมริกันออกจากตะวันออกกลาง เพราะว่าภาระกิจได้เสร็จสมบูรณ์แล้วในการฆ่าบิน ลาเดน และในการกวาดล้างพวกไอซิส ทั้งๆที่สหรัฐยิ่งรบพวกไอซิสที่เป็นศัตรูกับรัฐบาลซีเรีย กองทัพของรัฐบาลซีเรียยิ่งแพ้ต่อพวกไอซิส ความจริงผู้ที่ทำลายไอซิสคือปูตินกับอิหร่าน
หลายๆประเทศทั่วโลกเริ่มมองเห็นแล้วว่าสหรัฐไม่ได้แน่จริงเหมือนในอดีตแล้ว เพราะพ่ายแพ้ในสงครามตัวแทนในตะวันออกกลาง ปูตินก้าวขึ้นมาเป็นสิงห์ทะเลทรายแทนผู้นำสหรัฐจากการปักหมุดลงไปในซีเรีย เพื่อคุมทั้งตะวันออกกลาง ทำให้ซาอุดิฯจำต้องหงอให้รัสเซีย ประเทศอาหรับต่างๆมีความลังเลใจในทิศทางลมที่เปลี่ยน ส่วนอิสราเอลระส่ำหนัก มีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดเมื่อต้องเผชิญกับคู่แค้นอิหร่าน เนื่องจากสหรัฐจะไม่สามารถรับประกันว่าจะดูแลได้ตลอดรอดฝั่ง ส่วนอิหร่านจะได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจีนเต็มที่
เมื่อถอนกองกำลังออกจากอัฟกานิสถาน หรืออิรัคในวาระต่อไป สหรัฐไม่ได้เลิกลาวาศอก แต่กำลังย้ายพลเคลื่อนทัพมายังภูมิภาคอินโดแปซิฟิคแทนเพื่อที่จะปิดล้อมจีน โดยกำลังเขย่าจีนในทะเลจีนใต้และช่องแคบไต้หวัน ทำให้จีนที่ผ่านมาต้องเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศและนโยบายความมั่นคงคือต้องมีนโยบายเชิงรุกในต่างแดนแทนที่จะตั้งรับหลังกำแพงเมืองจีนเหมือนในประวัติศาสตร์ที่จีนตั้งรับในประเทศและถูกมหาอำนาจตะวันตกรุมกินโต๊ะในยุคล่าอาณานิคม
ในขณะเดียวกันสหรัฐปิดล้อมรัสเซียด้านยุโรปตะวันออก ใช้ยูเครนและประเทศที่เคยอยู่ใต้อานัติของรัสเซียไม่ว่าจะเป็นโปแลนด์ กลุ่มประเทศบอลติกส์ โรมาเนียฯลฯเป็นด้านหน้าของนาโต้ ทำให้เกิดคำถามว่าสหรัฐกล้าพอที่จะก่อสงครามกับรัสเซียและจีนพร้อมๆกันหรืออย่างไร คิดถ่องแท้แล้วหรือว่ารบแล้วจะชนะในสงครามอวกาศ หรือสงครามนิวเคลียร์?
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เวลานี้จีนและรัสเซียจับมือกันมั่น พร้อมที่จะรับมือกับสหรัฐและพันธมิตรอย่างเต็มที่ แต่การที่สหรัฐถอนทหารออกจากสนามบินBagramในอัฟกานิสถานโดยไม่บอกกล่าวรัฐบาลอัฟกัน ตีจากกันอย่างดื้อๆเพื่อความปลออภัยของตัวเอง และกำลังปิดฉากสงครามอัฟกันทำให้หลายๆประเทศต้องคิดทบทวนกันอย่างหนักว่า จะร่วมเป็นพันธมิตรกับสหรัฐในการปิดล้อมรัสเซียกับจีนแล้วอนาคตจะอยู่อย่างไร ถ้าจู่ๆสหรัฐเกิดรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ หรือถอดใจหนีเอาตัวรอดคนเดียวอย่างดื้อๆเหมือนกับที่ทำกับอัฟกานิสถาน
ดูๆแล้ว ลุงบ้านเราหน้ามืดเมาหมัด คิดเรื่องนี้ไม่เป็นนะ
15/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/377146420446682
27. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร เมื่อเราเปรียบเทียบแจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบากับมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กแห่งเฟสบุ๊ค เราได้เห็นความแตกต่างของโครงสร้างของจีนและสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน
ใครเป็นเจ้าของประเทศจีน? คำตอบคือพรรคคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลจีนภายใต้การบริหารของสี จิ้นผิง ไม่มีใครอยู่เหนือไปกว่านั้นได้ โดยมีหน้าที่ดูแลประชาชน1,400ล้านคนให้กินดีอยู่ดีตามอัตภาพภายใต้ระบบสังคมนิยม ที่เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาเงินตราเป็นตัวตั้ง รัฐบาลจีนมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้องกันประเทศจากภัยของการล่าอาณานิคมยุคใหม่ของมหาอำนาจตะวันตก
ใครเป็นเจ้าของประเทศสหรัฐ? คำตอบถือกลุ่มทุนนิยมวอลล์สตรีทและThe Corporationที่เชื่อมโยงกับซิตี้ ออฟ ลอนดอน ไม่ใช่รัฐบาลกลางสหรัฐ หรือคนอเมริกันดังที่เราเข้าใจกันผิดๆมาตลอด ประธานาธิบดีสหรัฐ สส สวในสภาคอนเกรซอยู่ใต้อำนาจนายทุนที่ควบคุมพรรครีพับรีกันและพรรคเดโมแครต นโยบายการบริหารประเทศสหรัฐจึงมุ่งไปที่การเอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน และบริษัทใหญ่ๆมาตลอด และต้องการลดบทบาทรัฐ หรือให้ขายทรัพย์สินของรัฐออกไปให้นายทุน ให้ธนาคารกลางของสหรัฐพิมพ์เงินหล่อเลี้ยงวอลล์สตรีทไปเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันให้เพนตากอนก่อสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ส่วนผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเรื่องที่มาทีหลังสุดในระบบทุนนิยมที่หรือเงินตราเป็นตัวตั้ง ยังไม่ทันเริ่มต้นจะแข่งขันกัน ประชาชนก็แพ้นายทุน เพราะว่านายทุนผูกขาดเงินตรา ควบคุมระบบ และให้ทุกฝ่ายเล่นตามเกมที่นายทุนกำหนด
มาเริ่มที่เรื่องของแจ็ค หม่าก่อน แจ็คอาจจะลืมตัว ไม่เข้าใจวิถีแห่งอำนาจในจีนอย่างลึกซึ้ง คิดว่าตัวเองใหญ่กว่าผู้นำจีน หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีน แจ็คเติบโตมากับระบบจีนจึงต้องเห็นจุดอ่อนจุดบอดของระบบเป็นธรรมดา เลยกลับหลงตัวเองคิดว่าแน่กว่าสี จิ้นผิง ผู้นำของจีน มีการพูดจากระแนะกระแหนระบบการเงินของจีนว่าล้าสมัยเหมือนโรงรับจำนำ เพราะว่าเขาสามารถสร้างฐานธุรกิจอีคอมเมิร์สของอาลีบาบาจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก สามารถจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐได้ ทำให้แจ็คกลายเป็นมหาเศรษฐีรวยล้นฟ้าด้วยความมั่งคั่ง$47.3ล้านจากการถือครองหุ้นของอาลีบาบา
แอ้นท์กรุ๊ปซึ่งเป็นเจ้าของอาลีเพย์ ระบบชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นเตรียมเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมทุน$37,400ล้านถูกสีสั่งยกเลิกในปลายปี 2020 เพราะว่าแอ้นท์ กรุ๊ปมีการปล่อยกู้เงิน กำลังทำตัวเป็นแบงก์ แต่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ของแบงก์ที่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบหรือการกำกับของธนราคารกลางจีน และไม่มีรีเสิร์ฟหรือฐานเงินกองทุนที่เพียงพอในการประกอบธุรกิจการเงิน
แจ็คทำตัวเหนือกฎเกณฑ์ แล้วกลับไปวิจารณ์ระบบการเงินจีน และมีความทะเยอทะยานในการสร้างฐานการเมืองภายในเพื่อขึ้นมาเป็นใหญ่ในวันข้างหน้า เมื่อแจ็คทำตัวอย่างนี้ สีจะปล่อยให้ลอยนวลได้อย่างไร
เวลาแจ็คเดินทางไปเวทีโลกที่ไหน ใครๆก็ปูพรมแดงต้อนรับ พร้อมสรรเสริญเยินยอว่า แจ็คเป็นอัศวินคลื่นลูกใหม่แห่งโลกดิจิตัล เพราะในโลกตะวันตกให้การยกย่องซีอีโอ หรือผู้นำธนาคารพานิชย์ หรือผู้นำคอร์ปอเรท (Corporate CEO) มากกว่าผู้นำรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งในบางกรณี โดยดูถูกผู้นำประเทศด้วยซ้ำ แจ็คจึงกลายเป็นสปอตไลท์ในเวทีต่างประเทศที่ยกยอปอปั้นแจ็คให้โดดเด่นกว่าสี จิ้นผิงเสียอีกที่กลับถูกสร้างภาพให้เป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์
ค่านิยมของวอลล์สตรีทมองว่าผู้นำรัฐ หรือรัฐบาลมีหน้าที่ทำให้บริษัท หรือธุรกิจมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่เหมือนกับแนวความคิดเรื่องรัฐของจีนที่มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือมีอาญาสิทธิ์ของแผ่นดิน หรือของโลกตะวันออกที่รัฐบาลต้องมาก่อน ธุรกิจหรือเอกชนมาทีหลัง
สยามประเทศของเราเอง ก็เคยมีระบบรัฐของพระเจ้าแผ่นดินที่เข้มแข็ง (Kingdom of Thailand) หรือมีระบบราชการที่เข้มแข็ง คนไทยนิยมรับราชการรับใช้ชาติ รับใช้พระเจ้าแผ่นดินที่ทรงด้วยทศพิธราชธรรม ดูแลทุกข์สุขของประชาชน แต่หลังปฏิวัติ 2475มีการอิมพอร์ตแนวความคิดเสรีนิยม และทุนนิยมของพวกแองโกลอเมริกันของอังกฤษ ทำให้รัฐอ่อนแอลง
ไปๆมาๆนายทุนใหญ่กว่ารัฐ นักการเมืองบางคนคิดว่าตัวเองแน่กว่าพระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชการไม่ได้เป็นข้าราชการ (Royal servant) อีกต่อไปแต่กลายเป็นพนักงานของรัฐ (Civil servant) ที่รับใช้นายทุน นี่คือจุดเริ่มต้นของความหายนะของสยามประเทศที่ภาคประชาชนจะอ่อนแอ หรือยากจนลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่นายทุนทั้งในและนอกจะรายขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะว่าผูกขาดระบบเศรษฐกิจทุกอย่างจากความอ่อนแอของรัฐที่เอื้อนายทุน และเอาเงินตราเป็นตัวตั้ง
เราสามารถตั้งคำถามได้ว่า แจ็คสร้างอาลีบาบา หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีนสร้างแจ็คเพื่อให้แจ๊คไปสร้างอาลีบาบาอีกต่อหนึ่ง?
อาลีบาบาไม่สามารถเติบโตเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับท้องถิ่นจนพัฒนามาเป็นระดับประเทศและระดับโลกได้ถ้าหากปราศจากโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐจีนได้วางเอาไว้เพื่อให้อาลีบาบาเจริญเติบโต เพราะอาลีบาบาเป็นการทดลอง(experiment) ของรัฐบาลจีนเพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ส และเทคโนโลยี รวมท้ังการให้อาลีบาบาไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐเพื่อเรียนรู้ระบบทุนนิยมโลก หรือกลไกของการเทรดกระดาษ เสกกระดาษเป็นทองว่ามีขบวนการหรือแนวทางอย่างไร เพื่อว่าจะได้รู้ทันโลกตะวันตก และเอากลับมาปรับใช้กับระบบของจีน
ด้วยเหตุนี้ แจ็คจึงเปรียบเป็นจิ๊กซอตัวหนึ่งที่รัฐบาลจีนใช้เพื่อทดลองแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี ระบบตลาด ระบบการเงินและเศรษฐกิจ รวมไปถึงระบบทุนนิยมการเงินโลก
แจ็คคงไม่เข้าใจบริบทนี้ เพราะว่าหลงคิดว่าความยิ่งใหญ่ของอาลีบาบามาจากการบุกเบิกของเาคนเดียว แถมมองว่ารัฐบาลจีนเป็นอุปสรรคด้วยซ้ำ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่คนส่วนมากมักจะลืมกำพืดของตัวเอง หรือไม่มองรากฐานที่ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ เมื่อได้ดี หรือเมื่อร่ำรวยขึ้นมา ทำให้หย่ิงผยองลำพองใจ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายของจักรวาล (Master of the Universe)
ความจริง แจ็คในอดีตเป็นเพียงครูสอนภาษาอังกฤษ และเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวต่างชาติทัวร์ในประเทศจีนเท่านั้น จับพลัดจับพลแจ็คสร้างบริษัทอาลีบาบาขึ้นมาได้ ก็ต้องยอมรับว่าแจ็คเก่งเกินตัวระดับหนึ่ง แต่อย่างที่บอก อาลีบาบาเติบโตแบบก้าวกระโดดจากโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลวางเอาไว้ทุกอย่างเพื่อให้อาลีบาบาหระสบความสำเร็จ เหมือนบริษัทจีนทั้งหลาย ไม่เห็นซีอีโอของบริษัทจีนอื่นที่ประสบความสำเร็จจะแสดงความโอหังเหมือนแจ็คเลย
เมื่อความสำเร็จมาถึงระดับโลกาภิวัฒน์ แจ็คจึงหลงระเริงไปกับคำยกยอ จนถึงขนาดที่ว่าแจ็คจะเป็นผู้ฆ่ายักษ์ เพราะว่าไม่ว่าแจ็คไปปรากฎตัวที่เวทีโลกที่ไหน มีแต่ผู้นำโลก ผู้นำธุรกิจระดับโลกมาต้อนรับ ใครๆก็อยากจะค้าสมาคมด้วย สื่อก็ต่อแถวอยากสัมภาษณ์แจ็ค อาศัยภาษาอังกฤษดีหน่อยแจ็คเลยพูดอะไรที่โลกทุนนิยมตะวันตกอยากจะฟัง เลยไปกันใหญ่ เพราะว่าแจ็คถูกยกยอให้มีสถานภาพสูงขึ้นไประดับมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ค บิล เกตส์ สตีฟ จ็อบ เจฟ เบซอส จนขาลอย เดินไม่ติดดิน
แจ็คอาจจะเข้าใจผิดเห็นว่าไอ้มาร์ค ไอ้สตีฟ ไอ้บิล ไอ้เจฟใหญ่กว่านักการเมืองทั้งหลาย แม้แต่ประธานาธิบดีที่สำเนียบขาวที่ประชาชนเลือกมา เพราะว่าเป็นผู้นำความก้าวหน้า และความมั่งคั่งมาให้สังคมที่แท้จริง แจ็คจึงอยากจะเอาเยี่ยงอย่างมั่ง และมีการใช้เงินปูทางเพื่อสร้างฐานอำนาจในทางการเมืองเพื่อหวังเป็นใหญ่ในอนาคต จึงถูกลงดาบอาญาสิทธิ์ของแผ่นดิน หายเงียบจากวงการธุรกิจไป
แอ้นท์กรุ๊ปต้องปรับโครงสร้างของบริษัทเพื่อรองรับกฎเกณฑ์ทางทางเงิน และต้องแชร์บิ๊กดาต้าของผู้ใช้แอฟนับพันล้านคนให้รัฐบาล เพราะว่าบิ๊กดาต้าเป็นความมั่นคง รัฐต้องเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เอกชนหรือนายทุนที่แสวงหาผลประโยชน์เฉพาะตัวเอง
ในสหรัฐอเมริกา ผู้นำคอร์โปเรท หรือซีอีโอใหญ่กว่ารัฐบาล หรือประธานาธิบดี มาร์ค ซักเกอร์เบิร์กแห่งเฟสบุ๊ค และแจ็ค ดอร์ซี่แห่งทวิทเตอร์ที่สามารถปิดบัญชีของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ในเดือนธันวาคมปี 2020 โดยกล่าวหาว่าทรัมป์ใช้สื่อโซเซียลเพื่อปลุกระดมมวลชนให้ชุมนุมประท้วงทำลายระบบประชาธิปไตย ทรัมป์กระดิกไม่ออก ไม่มีอำนาจขัดขืน แม้ว่าทรัมป์มีอำนาจกดปุ๋มนิวเคลียร์ แต่ไม่มีอำนาจสู้กับเฟสบุ๊ค กูเกิ้ล ยูทูป ทวิทเตอร์ที่แบนบัญชีของทรัมป์แบบสมรู้ร่วมคิด
ในสมัยก่อนวอลล์สตรีทจะโชว์ผู้นำของตัวเอง หรือนายธนาคารเช่น เจพี มอร์แกน หรือเดวิด ร็อคกี้เฟลเลอร์ว่าใหญ่กว่าประธานาธิบดีอย่างไร แต่มาสมัยนี้เป็นยุคซิลิคอนแวลเลย์ ที่ซีอีโอของบริษัทบิ๊กเทคออกมาโชว์ภาพว่าเป็นเจ้าของประเทศ หรือเป็นผู้นำของอเมริกาตัวจริง ทำให้ภาพของมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ค หรือผู้นำบิ๊คเทคโดดเด่นกว่าทรัมป์ หรือประธานาธิบดี
แสดงว่าระบบการปกครองของสหรัฐที่อ้างว่าเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยเลือกตั้ง แท้ที่จริงแล้วถูกผูกขาดหรือถูกคอนโทรลโดยวอลล์ สตรีทและซิลิคอนแวลเล่ย์ โดยมีCorporationเป็นใหญ่ ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ประธานาธิบดี ไม่ใช่รัฐบาล และไม่ใช่ประชาชน
คำถามที่ควรถามคือสยามประเทศควรเดินตามระบบคอร์ปอเรทเป็นใหญ่เหมือนสหรัฐ หรือระบบรัฐเข้มแข็งที่ดูแลประชาชนเหมือนจีนดี 14/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/376549830506341
26. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
มันเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก หรือยอมรับไม่ได้สำหรับชาติมหาอำนาจตะวันตก หรือคนผิวขาวที่จะเห็นจีนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นคนผิวเหลืองก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลก เพราะความมั่งคั่งที่เคยกินรวบมาตลอดจะทำไม่ได้เหมือนเดิม
การผงาดของจีนไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ แต่มาจากรากฐานของอารยะธรรม5,000ปี ผสมผสานของคนจีนสมัยใหม่ที่เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต อาศัยความอดทน ความอุตสาหะ ความเฉลียวฉลาดในการเรียนรู้ประยุกต์ และการพัฒนาสร้างชาติใหม่ เพื่อลบความอดสูในอดีตที่จีนถูกชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างย่ิงอังกฤษและญี่ปุ่นเหยียบย่ำจนล่มสลาย
ที่สำคัญ จีนจะเป็นมหาอำนาจโดยไม่ได้ก่อสงครามที่ต้องมีการสูญเสียเลือดเนื้อและทรัพย์สิน ต่างกับมหาอำนาจที่ผ่านมาที่ส่วนมากขึ้นมามีอำนาจผ่านการสงครามแทบท้ังนั้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา สเปน โปรตุเกส
จุดแข็งของจีนอยู่ที่การมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง (cultural identity) ประชากรส่วนมากของจีนเรียกตัวเองว่าเป็นชาวฮั่น แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่ใหญ่มีหลายเผ่าพันธุิ์ก็ตาม จะเห็นได้ว่าเมื่อจีนถูกราชวงศ์มองโกลยึดครอง หรือถูกพวกแมนจูแห่งราชวงศ์ชิงปกครอง แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของจีนได้ มิหนำซ้ำกลับถูกวัฒนธรรมจีนกลืนในที่สุด
บางคนบอกว่า จีนไม่ได้เป็นรัฐ (state)เหมือนอย่างแนวคิดตะวันตก แต่เป็นรัฐอารยะธรรม (civilization state) รัฐของโลกตะวันตกไม่ได้เป็นที่ยอมรับอย่างเคร่งครัด ถูกท้าทายตลอดจากอำนาจของกษัตริย์ พวกขุนนาง ศาสนจักร พ่อค้า ประชาชน ทำให้การรวมตัวเพื่อสร้างรัฐมีความเปราะบางในตัว ส่วนรัฐอารยธรรมของจีนมีความเป็นอาญาสิทธิ์ เป็นผู้ดูแลอารยะธรรมหรือเผ่าพันธุ์ ประชาชนเชื่อฟังในระดับจิตวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้การก้าวขึ้นไปเป็นมหาอำนาจโลกของจีนจึงตั้งอยู่บนรากฐานของอารยะธรรมจีนที่ดำเนินมาต่อเนื่องกว่า5,000ปี เผ่าพันธุ์ที่มีความเข้มแข็งจากการผสมผสานกลมกลืนกัน และความเป็นรัฐอารยะธรรม
ส่วนสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะตั้งประเทศได้ในปี 1776หลังสู้รบได้เอกราชจากอังกฤษ อารยะธรรมของสหรัฐเป็นอารยะธรรมที่ได้จากการผสมผสานจากยุโรป เคยเป็นบ้านป่าเมืองเถือนมาก่อน ได้ดินแดนจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุิ์ชาวพื้นเมืองอินเดียนแดง
มาวันนี้ นายAnthony Blinken รมว ต่างประเทศของสหรัฐบอกว่า จีนเป็นภัยต่อระเบียบโลกที่มีกฎเกณฑ์ (rules-based international order) เสรีนิยม สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย ซึ่งเป็นวาทะกรรมที่ฟังแล้วดูดี แต่แท้ที่จริงแล้วถูกใช้เป็นข้ออ้างของสหรัฐและมหาอำนาจตะวันตกในการรุกรานประเทศอื่นทั้งนั้น เพื่อยึดครองทรัพยากรธรรมชาติ สหรัฐใช้มือเขียนกฎเกณฑ์ได้ ก็สามารถใช้เท้างบสิ่งที่เขียนได้ เนื่องจากสหรัฐบอกว่าตัวเองเป็นประเทศที่มีสิทธิพิเศษ (Exceptionalism)จะทำอะไรก็ได้ เนื่องจากสหรัฐเป็นผู้พิทักษ์ระเบียบโลกเสรีนิยมในปัจจุบัน
ส่วนจีนสมัยใหม่ยอมรับว่าไม่ได้เป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่เป็นสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะอย่างของจีน และจีนจะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศใด ไม่รุกรานใคร และพร้อมที่จะคบทุกชาติเป็นมิตรเพื่อพัฒนาความก้าวหน้าไปด้วยกัน
จีนไม่เห็นด้วยที่กลุ่มแองโกลอเมริกันจะผูกขาดอำนาจ หรือระเบียบโลกแต่ผู้เดียว เพราะว่าในโลกนี้มีอยู่หลายประเทศ และแต่ละประเทศสามารถที่จะมีแนวทางเดินไปข้างหน้าของตัวเองได้ หรือสามารถรวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจโลกขั้วเดียวของกลุ่มแองโกลอเมริกันได้ ที่ผ่านมาประเทศใดที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ขัดกับวอชิงตัน จะถูกส่งออกประชาธิปไตย หรือล้มล้างการปกครอง
จีนจับมืออย่างเหนียวแน่นกับรัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือในการท้าทายระเบียบโลกเสรีของโลกตะวันตก จึงถูกสร้างภาพให้เป็นผู้ร้าย
นอกจากเรื่อง การเมืองระหว่างประเทศ การเงิน เทคโนโลยี ความมั่นคงและการทหารแล้ว สหรัฐกับจีนกำลังแข่งกันในเรื่องโมเดลทางเศรษฐกิจและการปกครอง สหรัฐใช้ระบบทุนนิยม ที่เอาทุนหรือเงินเป็นตัวตั้ง ผู้ที่มีทุนคือนายทุน หรือพวกแบ็งเกอร์วอลล์ตรีท (Wall Street)และบริษัทที่มีขนาดใหญ่ (Corporates)ที่มุ่งกอบโกยผลกำไรอย่างเดียว เมื่อมีเงินจึงมีอำนาจเหนือรัฐ หรือเหนือพรรคการเมือง2พรรค ท้ังรีพับบีลกันและเดโมแครต ส่วนผลประโยชน์ของประชาชนมาทีหลัง ความเป็นรัฐของสหรัฐจึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่า ตั้งขึ้นมาจากทุนของพวกแบ็งเกอร์และคอร์ปอเรท ประธานาธิบดีสหรัฐจึงไม่ได้มีอำนาจอะไร เพนตากอน หรือหน่วยงานความมั่นคงต้องการอะไร ทำเนียบขาว หรือสภาคอนเกรซต้องรีบสนอง ประชาชนที่เลือกตั้งประธานาธิบดี หรือผู้แทนในสภาจึงได้แต่ผู้ที่เข้ามารับใช้ดีบสเตท (Deep State) หรือรัฐบาลเงา
สหรัฐใช้ระบบทุนนิยม การค้าเสรี การเงินเสรี แต่เอาเข้าจริงวอลล์สตรีท และคอร์ปอเรตผูกขาดทุนและปัจจัยการผลิตและอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบธนาคารกลางและธนาคารพานิชย์ ทำให้นโยบายของรัฐบาลสหรัฐที่ออกมามุ่งที่เอื้อผลประโยชน์ของนายทุน
ที่ผ่านมาประชาชนคนอเมริกันได้ประโยชน์จากทุนนิยมทำให้มีมาตรฐานการครองชีพที่ดีมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากร มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นมหาอำนาจทางทหารทำให้สามารถตักตวงทรัพยากรจากประเทศอื่นได้
เมื่อเวลาผ่านไป มีการสร้างทุนนิยมการเงินเพื่อเพ่ิมความมั่งคั่ง และย้ายโรงงานออกนอกประเทศทำให้ความมั่งคั่งตกอยู่ในมือนายทุนมากยิ่งขึ้น ส่วนชนชั้นกลางที่เป็นเสาหลักของประเทศกลับจะมีรายได้ที่ลดลงเมื่อหักเงินเฟ้อ ไม่ต้องพูดถึงชนชั้นล่างที่ต้องทำงานหนักมากเพื่อมาจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหาร ความเหลื่อมล่ำในสหรัฐจึงถ่างออกไปเรื่อยๆจนคนรวยเพียงหยิบมือเดียวครอบครองความมั่งคั่ง80%ของประเทศ
ถ้าสหรัฐมีการแบ่งปัน หรือจัดสรรความมั่งคั่งให้ทั่วถึง คนอเมริกันส่วนใหญ่จะมั่งมีมาก เพราะว่าความมั่งคั่งของโลกในเวลานี้อยู่ที่สหรัฐเป็นส่วนมาก
สหรัฐเข้าสู่ยุคเสื่อมเนื่องจากใช้ระบบทุนนิยมที่นายทุนผูกขาดในระบบเศรษฐกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูง และสร้างความเหลื่อมล้ำ ในขณะเดียวกันรัฐดำเนินนโยบายก่อหนี้เพื่อการใช้จ่ายเกินตัวในด้านการทหารที่ต้องดูแลฐานทัพ800กว่าแห่ง และดูแลประชาชนด้านสวัสดิการสังคม ทำให้นายทุนรวยฝ่ายเดียว ส่วนรัฐบาลมีแต่หนี้ และประชาชนส่วนใหญ่ต้องก่อหนี้เหมือนกันเพื่อที่จะรักษามาตรฐานการครองชีพไม่ให้ตกต่ำ เมื่อเวลาผ่านไปภาพนี้จะค่อยๆชัดขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันรัสเซียตามสหรัฐทันในด้านแสนยานุภาพทางทหาร ส่วนจีนกำลังไล่กวดหายใจรดต้นคอด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
ส่วนโมเดลของจีนเป็นโมเดลสังคมนิยม หมายถึงการบริหารประเทศผลประโยชน์ของประชาชนมาก่อน ไม่ใช่ทุน หรือนายทุนมาก่อน โดยมีรัฐเป็นผู้ดูแลจัดระเบียบ พรรคคอมมิวนิสต์อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง โดยมีอำนาจเด็ดขาดในแนวอำนาจนิยม (authoritarianism) ในการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ แก้ปัญหาความยากจน สร้างให้จีนมีการพัฒนาเคียงบ่าเคียงไหล่มหาอำนาจอื่นๆ
ความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์หรือรัฐบาลจีนจึงวัดกันที่การดูแลผลประโยชน์ของประชาชนจีน1,400ล้านคน นึกภาพเอา ถ้าบริหารประเทศไม่ดี เพียงแค่ประชาชน10ล้านคนไม่เอาด้วย รัฐบาลจีนก็อยู่ไม่ได้ พรรคก็อยู่ไม่ได้ การดูแลประชาชน1,400จึงเป็นความท้าทายที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนรัฐสิงคโปร์ที่มีประชาชนไม่กี่ล้านคน ดูแลง่ายกว่ามาก
จีนอยู่ในช่วงการสร้างชาติ อะไรหลายอย่างจึงยังไม่ลงตัว ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20จีนที่เคยมั่งคั่งที่สุดในโลกกลายเป็นประเทศที่ติดลบ เพราะถูกล่าอาณานิคมโดยชาติมหาอำนาจตะวันตก และสงครามกลางเมือง เหมา เจ๋อตุงที่ตั้งประเทศจีนใหม่ในปี 1949ต้องคอยแก้ปัญหาหลัก4อย่างของจีนคือ อดตาย หนาวตาย น้ำท่วมตาย ฆ่ากันตาย มาสมัยเติ้งถึงได้ปรับเปลี่ยนนโยบายเปิดประเทศ ผสมผสานสังคมนิยมกับทุนนิยม แต่โดยภาพรวมเน้นการแก้ปัญหาความยากจน และเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง การเผื่อแผกัน
การต่อสุ้ระหว่างโมเดลทุนนิยมของสหรัฐ และโมเดลสังคมนิยมของจีนจะเป็นที่จับตาดูของทุกประเทศ เพื่อว่าจะได้ปรับแนวทางการบริหารประเทศของตัวเองให้ถูก หรือให้มีความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ทุนนิยมแบบรวยเร็ว รวยกระจุกตัว ดูดีในระยะแรก แต่นานวันมีแต่ทิ้งปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนให้คนหมู่มาก หรือสังคมนิยมที่ไร้ประสิทธิภาพ ปิดตัวเอง ไม่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก ไม่มีเทคโนโลยี เคร่งในคัมภีร์จนไม่มองโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งจีนสามารถสร้างสังคมนิยมใหม่ ลบล้างสังคมนิยมที่ล้มเหลวสมัยเหมา และสมัยสหภาพโซเวียตเนื่องจากมีความยืดหยุ่น เรียนรู้ความผิดพลาดของอดีต และมีความสามารถในการประยุกต์ โดยเอาประเทศเป็นตัวตั้ง
13/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/376167023877955
25. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
การผงาดขึ้นมาของจีน (The Rise of China)ที่สวนทางกับการตกต่ำของสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า สหรัฐจะปกป้องความเป็นจ้าวโลกด้วยการก่อสงครามกับจีนเพื่อสกัดไม่ให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกแทนสหรัฐหรือไม่
นายSteve Bannon อดีตที่ปรึกษาของทำเนียบขาวสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ได้กล่าวในปี 2017ว่า สหรัฐกำลังอยู่ในภาวะสงครามด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์กับจีน โดยอธิบายว่าไม่ว่าจีนหรือสหรัฐประเทศใดประเทศหนึ่งจะเป็นมหาอำนาจโลกในอีก25-30ปี แต่มันจะเป็นจีนถ้าหากสหรัฐยังคงเดินตามแนวทางเดิม โดยสหรัฐจะเป็นฝ่ายแพ้
เขาย้ำว่า ในอีก5 ปีหรืออีก10ข้างหน้า ถ้าไม่ทำอะไร สถานการณ์จะไปถึงจุดที่สหรัฐจะไม่มีทางตามหลังจีนทัน
การผงาดขึ้นมาของจีนด้านเศรษฐกิจ การเงิน เทคโนโลยีและการทหารทำให้โลกตะวันตกหวั่นว่าจะไม่สามารถรักษาระเบียบโลกปัจจุบัน ที่อำนาจทางการเมือง การทหารและความมั่งคั่งส่วนใหญ่ในโลกอยู่ในมือของกลุ่มประเทศG-7
สหรัฐเห็นภัยของการที่จีนจะแซงหน้าสหรัฐได้ทางด้านเศรษฐกิจหลังวิกฤติการเงินปี 2008-2009 ทำให้ประธานาธิบดีโอบามาริเริ่มยุทธศาสตร์ในการปิดล้อมจีน โดยประกาศว่าสหรัฐกำลังเตรียมการที่กลับมาปักหมุด หรือฟื้นฟูความเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ด้วยการสร้างพันธมิตรในภุมิภาคเพื่อที่จะสกัดอิทธิพลของจีน และรักษาระเบียบโลกเสรีนิยม
มาถึงสมัยประธานาธิบดีทรัมป์สร้างสโลแกนMake America Great Again และในปี 2018มีการเริ่มก่อสงครามการค้า สงครามภาษี สงครามเทคโนโลยีกับจีน พร้อมโจมตี และแซงชั่นจีนเรื่องภายในจีนเรื่องซินเจียง ฮ่องกง ไต้หวัน ในทางความมั่นคงมีการดึงเอาอินเดียเข้ามาเป็นพันธมิตรเพื่อสกัดจีนอีกแรง สหรัฐจึงเปลี่ยนคำว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเป็นอินโดแปซิฟิคแทนเพื่อที่จะขยายความขัดแย้ง หรือดึงเอาพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิคไปจรดมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกัน มีการสร้างกลุ่ม4เกลอ หรือQuad Group อันประกอบด้วยสหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่นและออสเตรเลียเพื่อร่วมมือกันทางความมั่นคงและทางทหารคล้ายๆกับองค์กรนาโต้ โดยจะดึงพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิคและมหาสมุทรอินเดียในมาร่วมกับแกนนำQuadทีหลัง
ในสมัยของโจ ไบเดนในปัจจุบัน นโยบายของสหรัฐต่อจีนกลับกร้าวร้าวมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่าพรรครีพับบลีกันและพรรคเดโมแครตมีนโยบายไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างไร โดยการยั่วยุจีนที่ช่องแคบไต้หวัน และที่ทะเลจีนใต้ที่ร่วมซ้อมรบกับพันธมิตรตะวันตกมีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม และจะพยายามดึงเอาอาเซี่ยนเข้าร่วงวงปิดล้อมจีนด้วย ซึ่งกำลังสร้างความลำบากใจให้อาเซี่ยนที่กำลังถูกบีบให้เลือกข้างในขณะที่จีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาเซี่ยน และอนาคตของอาเซี่ยนจะต้องผูกกับเส้นทางสายไหมของจีน ไม่ใช่อเมริกาเหนือที่กำลังเสื่อมลง
ศาสดาจารย์Graham Allison ที่สอนหนังสืออยู่ที่John F Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตั้งคำถามที่น่าสนใจกว่าว่าสหรัฐจะติดกับดักธูสิดีดิส (Thucydides's Trap) หรือไม่ในการเผชิญหน้ากับการผงาดของจีน
ธูสิดีดิสเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณที่มีชีวิตอยู่ในในศตวรรษที่5ก่อนคริสตกาล เขาเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ของสงครามเพลอปปอนเนเชียน (The History of the Peloponnesian War) โดยมีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของสงครามว่าทำไมพวกสปาร์ตา ในฐานะมหาอำนาจดั้งเดิม จึงประกาศสงครามกับเอเธนส์ ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่กำลังเกิดใหม่ ธูสิดีดิสสรุปว่า การผงาดขึ้นมาของเอเธนส์ที่กำลังมีอำนาจเหนือกรีซทำให้สงครามเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าพวกสปาร์ต้ารู้สึกหวาดกลัว ทำให้จำต้องก่อสงครามเพื่อรักษาผลประโยชย์ของตัวเอง นี่คือกับดักธูสิดีดิสที่มหาอำนาจหรือจักรวรรดิในประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกต่างก็ติดกับดักของการก่อสงครามเพื่อที่จะปกป้องอำนาจของตัวเองจากคู่แข่งที่กำลังเรืองอำนาจ และมีทีท่าว่าจะมาแย่งอำนาจหรืออิทธิพลของตัวเอง
"กับดักธูสิดีดิส"จึงกลายเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในแวดวงภูมิรัฐศาสตร์ในเวลานี้ว่า สหรัฐจะเดินตามแนวทางของพวกสปาร์ต้าที่ก่อสงครามกับเอเธนส์เพื่อสกัดไม่ให้เอเธนส์ยิ่งใหญ่เหนือดินแดนกรีซทั้งมวล ด้วยการก่อสงครามกับจีน สงครามโลกครั้งที่3สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้หรือไม่
อาจารย์จิตติภัทร พูนขำจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เขียนบทความ “กับดักธูสิดีดิส” แห่งศตวรรษที่ 21 : การเปลี่ยนผ่านอำนาจโลกอย่าง(ไร้)สันติ? ว่า Graham Allison นิยาม “กับดักธูสิดีดิส” ว่าเป็น “ความตึงเครียดเชิงโครงสร้างอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อรัฐมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้นมา คุกคามที่จะท้าทายมหาอำนาจเดิม” ดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อมหาอำนาจใหม่อย่างเอเธนส์ท้าทายความเป็นใหญ่ของสปาร์ตาในยุคกรีกโบราณ เรามักจะเข้าใจกันว่าสิ่งที่ทำให้สงครามเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นั้น มาจากการผงาดขึ้นมาเชิงอำนาจของเอเธนส์ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่สปาร์ตา อย่างไรก็ดี Allison เสนอว่า สงครามนั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ในการเปลี่ยนผ่านอำนาจโลก และมองว่าข้อเสนอของธูสิดีดิสเกี่ยวกับความไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นั้นเป็นเพียง “อติพจน์” (hyperbole) กล่าวคือ เป็นเพียงการกล่าวเกินจริงเพื่อเป้าหมายของการเน้นย้ำ เขากล่าวว่า “ประเด็นของกับดักธูสิดีดิสไม่ใช่ชะตากรรมนิยม (fatalism) หรือการมองโลกในแง่ร้าย แต่มันช่วยชี้ให้เราเห็นมากกว่าพาดหัวข่าวรายวันและวาทศิลป์ของระบอบการเมือง เพื่อที่จะตระหนักถึงความตึงเครียดเชิงโครงสร้าง ซึ่งจีนและสหรัฐฯ จำต้องเข้าใจอย่างช่ำชองเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์แบบสันติ”
ในหนังสือ Destined for War: Can America and China Escape Thucydides’s Trap? (2017) Allison ได้ศึกษาวิจัยกรณีศึกษาในพัฒนาการของระบบระหว่างประเทศ โดยเสนอว่ามีเพียง 4 จาก 16 กรณีศึกษาในช่วงห้าร้อยปีของประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านอำนาจโลกเท่านั้น ที่เป็นไปโดยสันติ
สำหรับ Allison กับดักธูสิดีดิสนั้นเป็นเพียงการเปรียบเปรยทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเลนส์ในการทำความเข้าใจการเมืองโลกในปัจจุบัน โดยสหรัฐฯ และจีนสามารถที่จะหลีกเลี่ยงสงคราม บนพื้นฐานที่ทั้งสองฝ่ายต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ และตระหนักว่าสงครามเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศิลป์แห่งรัฐ (statecraft) และการนำ (leadership) เขาเสนอด้วยว่า “ธูสิดีดิสก็คงเห็นด้วยว่าสงครามระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตาก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” https://www.the101.world/thucydides-trap
นาย Anthony Blinken รมว ต่างประเทศของสหรัฐสรุปท่าทีของสหรัฐต่อจีนในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วยวลีง่ายๆว่า จะแข่งขันกันเมื่อต้องแข่ง จะร่วมมือกันเมื่อทำได้ และจะเป็นศัตรูกันเมื่อมันต้องเป็นเช่นนั้น(competitive when it should be, collaborative when it can be and adversarial when it must be.”)
เขาใช้คำว่าศัตรูอย่างชัดเจน ว่าถ้าจำเป็นต้องเป็นศัตรูกันก็ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย Blinken มีแนวคววามคิดสายเหยี่ยว ที่ขึ้นมารับงานใหญ่เพื่อจัดการกับจีนโดยเฉพาะ
ในขณะที่ฝ่ายจีนออกมาตอบโต้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอยู่ในภาวะชงักงัน เพราะว่าสหรัฐมีภาวะจิตที่หลงทางและมีนโยบายที่อันตรายที่ต้องมีการแก้ไข โดยนายXie Feng รองรมว ต่างประเทศจีนกล่าวในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามาในระหว่างการเจรจากับWendy Sherman รองรมว ต่างประเทศสหรัฐว่า รัฐบาลโจ ไบเดนต้องการปิดล้อมจีนเพื่อสกัดการพัฒนาเพื่อความเจริญก้าวหน้าของจีน
เขาบอกว่า สาเหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐกำลังเผชิญกับปัญหาอุปสรรค เพราะว่าสหรัฐสร้างจีนให้เป็นศัตรูในจินตนาการ (imagined enemy)
สหรัฐจะติดกับดักธูสิดีดิสหรือไม่ สหรัฐเกรงกลัวว่าจีนจะสามารถสร้างอิทธิพลบนโลกจนทำให้สหรัฐเข้าสู่จุดเสื่อม ทำให้ต้องปิดล้อมจีนหรือหาทางก่อสงครามกับจีน ในขณะเดียวกันสหรัฐจะหันกลับไปดูตัวเอง เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างทั้งภายในและภายนอกเพื่อที่จะกอบกู้สถานภาพของตัวเอง สหรัฐจะมองจีนเป็นศัตรูที่ต้องห้ำหั่นกัน หรือเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมโลกกับจีนที่เป็นคู่แข่งด้วยแนวทางสันติวิธี
กับดักธูสิดีดิสจะกลับมาหลอกหลอนโลกหรือไม่ อีกไม่นานก็จะได้เห็นกัน 13/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/375970713897586
24. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร? ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนมีเรื่องการค้าเป็นปมใหญ่ โดยสหรัฐเป็นผู้ซื้อ และจีนเป็นผู้ขาย ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าแบบเรื้อรังกับจีนมาตลอด มองไปในอนาคตจีนยิ่งแต่จะเจริญรุ่งเรืองเพราะว่าค้าขายดี มีการลงทุน มีการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี ขนาดเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนจะใหญ่ขึ้นเป็นเงาตามตัว ส่วนสหรัฐจะมีปัญหาว่าจะยื้อการก่อหนี้เพื่อการใช้จ่ายที่เกินตัวเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของการบริโภคไปได้อีกนานเท่าใด
ในปี2012 สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน$315,100ล้าน ก่อนที่ตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นไปเป็น$367,300ล้านในปี 2015 ในปี 2016 ตัวเลขขาดดุลลดลงมาเหลือ$346,800ล้าน แต่พอล่วงถึงปี 2018 สหรัฐขาดดุลเพิ่มเป้น$418,900ล้าน ก่อนที่จะลดลงเหลือ$345,200ล้านในปี 2019 ในปี2020 ที่ผ่านมาสหรัฐขาดดุลการค้ากับจีน$310,800ล้าน
อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยกเรื่องขาดดุลการค้ากับจีนเป็นประเด็นหลักในการหาเสียง สร้างสโลแกนว่าจะทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทรัมป์กล่าวหาว่าผู้นำคนก่อนๆไม่มีใครกล้าแตะต้องเรื่องการขาดดุล ท้ังๆที่จีนทำการค้าแบบเอาเปรียบสหรัฐจากการบีบบังคับให้บริษัทอเมริกันต้องถ่ายทอดเทคโนโลยี มีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐ ใช้ไซเบอร์โจมตีหรือล้วงข้อมูลจากเครือข่ายธุรกิจของสหรัฐ กดค่าเงินหยวนให้อ่อนกว่าปกติเพื่อหนุนการส่งออก มีการกีดกันการค้า และรัฐบาลจีนให้เงินอุดหนุนบริษัทจีนเพื่อขายของตัดราคาคู่แข่ง
ข้อกล่าวหานี้อาจจะมีส่วนจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่มีความจริงอย่างหนึ่งที่ทรัมป์ไม่พูดออกมา คือบริษัทอเมริกันกอบโกยกำไรอย่างมหาศาลจากการลงทุน หรือย้ายฐานผลิตเข้าไปในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2001ที่จีนได้เข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การค้าโลก ถือว่าเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เพราะว่านอกจากการค้าขายของจีนจะรุ่งเรือง และได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้นแล้ว กำไรของบริษัทอเมริกันก็พุ่งแบบผิดหูผิดตาเหมือนกัน และนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นของสหรัฐเฟื่องฟูมากๆ
ตารางอันแรกชี้ให้เห็นว่าสหรัฐขาดดุลการค้าต่อเดือนอย่างน้อย$30,000ล้านตั้งแต่ปี 2001 โดยการขาดดุลต่อเดือนพุ่งเกือบถึง$70,000ล้านในบางเดือนในปี 2006 ในปี2020 สหรัฐมีการขาดดุลต่อเดือนในบางเดือนที่ $63,120ล้าน
ส่วนกราฟที่2ชี้ให้เห็นว่า บริษัทอเมริกันกำไรต่ำกว่า$800,000ล้านก่อนหักภาษีในปีแรกไของศตวรรษใหม่ ก่อนที่กำไรจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนเกิน$2ล้านล้าน หรือเกือบจะแตะ$2.4ล้านล้านในปีที่ผ่านมา ในขณะที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น
มันเป็นเรื่องประชดประชันเหมือนกันที่ย่ิงสหรัฐขาดดุลกับจีน บริษัทอเมริกันยิ่งได้กำไรจากการส่งออกจากฐานในจีน ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ของบริษัทอเมริกันไม่เหมือนกัน งบดุลของประเทศฉิบหาย แต่งบดุลของบริษัทกลับงอกงาม ทำให้ตลาดหุ้นเฟื่องฟู
ด้วยเหตุนี้ เวลาทรัมป์ สื่อ หรือนักวิเคราะห์ด่าจีนในเรื่องการค้าที่ไม่เป็นธรรม ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่อเมริกันต่างพากันนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรมาก หรือถ้าจำเป็นต้องพูดก็แสดงความเห็นแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เพราะรู้ดีว่าจีนเป็นห่านที่ไข่ออกมาเป็นทองสร้างผลกำไรให้บริษัทตัวเอง
การที่ทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน และจีนตอบโต้ในลักษณะตาต่อตา ฟันต่อฟันในท้ายที่สุดแล้ว ผู้นำเข้าอเมริกัน ต้องซื้อสินค้าแพงขึ้น แล้วส่งผ่านราคาที่แพงขึ้นให้ผู้บริโภค
การแซงชั่นจีนด้านเทคโนโลยี โดยไม่ให้บริษัทอเมริกันขายเซมิคอนดั๊กเตอร์ให้บริษัทจีน แบน5จีของหัวเหว่ย หรือไม่ขายระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ให้มือถือจีนอาจจะสร้างความเสียหายให้บริษัทจีนในระยะแรก แต่มันยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้บริษัทจีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเองในเรื่องเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น
ตามปกติหัวเหว่ยจะซื้อชิปจากหลายๆบริษัท โดยเฉพาะจากบริษัทอเมริกัน แม้ว่าหัวเหว่ยจะผลิตชิปเองได้บางส่วน แต่การซื้อชิปจากหลายแหล่งผลิตจะทำให้หัวเหว่ยมีอำนาจในการต่อรอง และทำให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรม เพราะว่าซับไพลเออร์ต้องพยายามพัฒนาคุณภาพของชิปและไม่สามารถจะผูกขาดได้ หลังจากที่หัวเหว่ยถูกแบนทำให้ต้องพัฒนาระบบปฏิบัติการณ์Harmonyของมือถือของตัวเอง รวมทั้งเร่งผลิคชิปให้พอกับความต้องการ ในขณะเดียวกันยอดขายมือถือของเสี่ยวหมีแซงหน้าแอปเปิ้ลไปแล้ว ตามหลังแต่ค่ายซัมซุงเท่านั้น
ในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มันไม่เป็นการยากที่จะทำนายว่าใครจะชนะในที่สุด เพราะว่าถ้าผู้ขายไม่ขายของให้ ผู้ซื้อมีเงินแต่ไม่มีของให้ซื้อแล้วจะอยู่อย่างไร จีนหันมาสร้างตลาดภายในประเทศ พร้อมกับการเพิ่มอำนาจซื้อของคนจีนและสร้างตลาดใหม่ในแอฟริกาและลาตินอเมริกา หรือโดยภาพรวมสร้างเศรษฐกิจตามแนวเส้นทางสายไหม เพื่อขายของให้ตลาดใหม่ แทนที่จะต้องพึ่งดาตลาดสหรัฐ ส่วนสหรัฐเอาท์ซอสการผลิตไปยังจีน หรือประเทศต่างๆ แต่จีนเป็นศูนย์กลางของระบบซับไพลเชนของโลก ไม่มีทางที่สหรัฐจะหาแหล่งผลิตใหม่มาทดแทนได้ทันการ ความคิดที่จะให้อินเดีย หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแทนจีนจึงเป็นแค่เรื่องที่อยู่ในแผน แต่ยังปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่าจะสร้างระบบซับไพลเชนหรืออุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องพร้อมระบบโลจิสติกส์ที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไปต้องมีการลงทุนมหาศาล และต้องใช้เวลานับ10ปีในการสร้าง
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจีนเริ่มไม่ซับไพลของให้สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ที่สำคัญ เพราะว่าในระบบการผลิตสมัยใหม่ ถ้าอุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขาดแคลนจะทำให้ขบวนการผลิต หรือประกอบสินค้าต้องสะดุด ไปต่อไม่ได้ เหมือนโรงงานรถยนต์หลายแห่งต้องปิดการผลิต เพราะว่าขาดแคลนชิป ขณะนี้สหรัฐเริ่มประสบกับการขาดแคลนสินค้าอุปกรณ์ที่สำคัญ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการตอบโต้จากจีนอย่างจงใจ หรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ช่วงนี้เศรษฐกิจสหรัฐมีการโหมกระตุ้นทำให้เศรษฐกิจมีความร้อนแรง เงินเฟ้อพุ่ง และสินค้าขาดตลาด https://charleshughsmith.blogspot.com/2021/07/america-has-lost-trade-war-with-china.html
แต่ดูรูปการณ์แล้ว ในท้ายที่สุดจีนจะชนะสงครามการค้ากับสหรัฐ เพราะว่าผู้ผลิตยังไงเสียต้องได้เปรียบผู้ซื้อวันยังค่ำ ยิ่งถ้าผู้ผลิตต้องการดั้มทิ้งดอลล่าร์อยู่แล้ว ยิ่งไปกันใหญ่
12/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/375520500609274
23. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
ในการแข่งขันกีฬาโตเกียวโอลิมปิคส์ที่เพิ่งปิดฉากลงเมื่อเร็วๆนี้ ในแง่หนึ่งเป็นการแข่งขันเพื่อแย่งชิงความเป็นจ้าวเหรียญทองระหว่างสหรัฐกับจีนที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเพื่อเกทับกันในเชิง และประกาศศักดาแสดงความเป็นมหาอำนาจของโลก
กีฬาโอลิมปิคส์มีความหมายมากต่อชื่อเสียงของนักกีฬา และประเทศชาติมาก เพราะว่าได้รับความสนใจจากคนดูทั่วโลก ไม่มีใครไม่ชอบกีฬา อย่างน้อยต้องติดตาม หรือได้รับชมการแข่งขันอย่างใดอย่างหนึ่งผ่านทางทีวี
กีฬาโอลิมปิคส์นอกจากแสดงให้เห็นความเป็นเลิศของตัวนักกีฬาที่ชนะได้เหรียญมาคล้องคอ แต่สะท้อนถึงโครงการพัฒนาด้านการกีฬาของแต่ละประเทศที่ต้องมีการใช้เงินมากในลงทุน การฝึกฝนนักกีฬา การใช้ผู้ฝึกสอนที่ได้มาตรฐาน การใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาเกี่ยวข้อง การพัฒนาอุปกรณ์การแข่งขัน ซึ่งต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมเป็นเวลาหลายปี และส่งผ่านรุ่นต่อรุ่น
อธิบายง่ายๆ กีฬาโอลิมปิคส์เป็นเกณฑ์มาตรฐานอย่างหนึ่งในการวัดประสิทธิภาพของพัฒนาการของระบบของประเทศ จะเห็นได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนมากจะได้เหรียญโอลิมปิคส์มากกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนากว่า
ในยุคสงครามเย็น โอลิมปิคส์กลายเป็นเวทีประลองความเข้มแข็งของระบบเสรีนิยม กับระบบสังคมนิยม นักกีฬาค่ายสังคมนิยมของโซเวียต หรือยุโรปตะวันออกมีความมุ่งมั่นมากที่สุดที่จะเอาชนะได้เหรียญทอง เนื่องจากนักกีฬาเป็นผลิตผลของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โซเวียตมีคำศัพท์เฉพาะสำหรับนักดนตรี โดยเฉพาะนักเปียโน นักไวโอลิน หรือนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างประเทศถือว่าเป็นผลิตผลของSoviet system ระบบโซเวียตที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อชัยชนะ หรือเพื่อความเป็นเลิศ
คำว่าSoviet systemฟังแล้วต้องขนลุก เพราะว่ามันหมายถึงเป้าหมายของรัฐโซเวียตที่จะชนะเหรียญทอง งบประมาณรัฐมีการเลี้ยงดูอัดฉีดอย่างเต็มที่ มีการพัฒนาระบบโดยเฉพาะของรัสเซียเพื่อความเป็นเลิศในการเล่นเปียโน ไวโอลิน หรือเครื่องดนตรีคลาสสิค และการกีฬาประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิมนาสติกส์ มีโปรแกรมการฝึกที่หนักหน่วงจนเลือดตาแทบกระเด็นท้ังโค้ชและผู้เล่น ต้องอุทิศกำลังกายกำลังใจและเวลาอย่างเต็มที่ ไม่มีการขาดตกบกพร่อง แข่งแล้วห้ามแพ้เพราะการแพ้ถือว่าเป็นความล้มเหลวของระบบโซเวียต
ย้อนกับมาในโตเกียวโอลิมปิคส์ที่มีการจัดการแข่งขันท่ามกลางการระบาดของไวรัสและความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน ถ้าจะว่าไปแล้วโตเกียวโอลิมปิคส์เป็นการแข่งกันระหว่างสหรัฐกับจีนว่าใครจะเป็นจ้าวเหรียญทอง แต่ในภาพที่กว้างขึ้นเป็นการแข่งขันของระบบของโลกเสรีกับโลกสังคมนิยม สหรัฐต้องการได้เหรียญทองโอลิมปิคส์มากกว่าจีนเพื่อพิสูจน์ว่าสหรัฐเป็นผู้นำโลกในทุกด้าน ส่วนจีนก็ต้องการได้เหรียญทองมากกว่าสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าคนเอเชียแม้จะมีรูปร่างสรีระเสียเปรียบชาติตะวันตกแต่ถ้าหากว่ามีการพัฒนาอย่างถูกต้องก็สามารถเอาชนะได้ และในท้ายที่สุดระบบจีนเป็นระบบที่ดีที่สุด
ปรากฎว่าในโตเกียวโอลิมปิคส์ สหรัฐเป็นแชมป์ โดยได้เหรียญทองมากที่สุดคือ 39เหรียญ ได้เหรียญเงิน 41เหรียญ ได้เหรียญทองแดง 33เหรียญ รวมทั้งหมดได้ 113เหรียญ
ส่วนจีนได้38เหรียญทอง 32เหรียญเงินและ 18เหรียญทองแดง รวมท้ังหมด88เหรียญ
ในขณะเดียวกัน Chinese Taipei ได้2เหรียญทอง 4เหรียญเงิน6เหรียญทองแดง รวมทั้งหมด12เหรียญ ส่วนHong Kong China ได้1เหรียญทอง2 เหรียญเงิน และ3เหรียญทองแดง รวมท้ังหมด6เหรียญ
ประเด็นคือ ถ้ารวมเอาเหรียญของChinese Taipei และHong Kong China ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ กับเหรียญของจีนเข้าด้วยกัน จีนจะแซงหน้าสหรัฐ เป็นจ้าวกีฬาโอลิมปิคส์ในคร้ังนี้ เพราะว่าจะทำให้จีนมีเหรียญโอลิมปิคส์รวมคือ41เหรียญทอง 38เหรียญเงินและ 27เหรียญทองแดง รวมท้ังหมด 106เหรียญ
สงคราม และการเข้ามาแทรกแซงของลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตกทำให้จีนต้องแตกแยก และต้องดำเนินนโยบายหนึ่งจีนสองระบบ (One country, two systems)ในเวลานี้ โดยในวาระข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี มันคงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่จีนจะผนวกฮ่องกงและไต้หวันให้เป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อความเป็นเอกภาพในการสร้างชาติใหม่อย่างแท้จริง
มีคนพูดติดตลกว่า ที่จีนได้เหรียญโอลิมปิคส์มาก เพราะว่าจีนมีประชากรมาก ส่วนกรณีอินเดียที่ได้เหรียญน้อย (ทอง1เหรียญ เงิน2เหรียญและทองแดง4เหรียญ) เพราะว่าอินเดียมีประชากรมากเกินไป
12/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/375228003971857
22. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
จีนเดินหลายแนวทางด้วยกันในการปลดแอกจากกับดักดอลล่าร์ (de-dollarisation)ที่มีการดำเนินการพร้อมๆกัน
ในแนวทางแรก จีนตั้งธนาคารAIIB เพื่อสร้างอิทธิพลของเงินหยวนในระยะยาว โดยAIIBทำหน้าที่เป็นทั้งIMFและธนาคารโลกที่มีการสร้างเงินรีเสิร์ฟใหม่คือ Asian Drawing Right (ADR)เพื่อแข่งกับSDRของIMFในการทำหน้าที่เป็นเงินรีเสิร์ฟของภูมิภาคของหรือโลกในวาระต่อไป ประเทศต่างๆสามารถใช้ADR เป็นเงินทุนสำรองแทนดอลล่าร์ หรือเทียบเท่ากับทองคำในการดูแลเสถียรภาพของค่าเงิน หรือบริหารจัดการดุลการชำระเงิน
AIIBทำหน้าที่คล้ายธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียโดยไฟแนนซ์การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในเส้นทางสายไหมทั้ง3ทวีป ด้วยเม็ดเงิน$1.6ล้านล้านที่จะลงทุนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025
ในปัจจุบัน AIIBมีสมาชิก103ประเทศ จีนจะดั้มดอลล่าร์จากรีเสิร์ฟของจีนที่มีอยู่มากกว่า$3.1ล้านล้านเข้าไปในโครงการเส้นทางสายไหม โดยจะแปลงดอลล่าร์ให้เป็นทรัพย์สินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน (โรงงานไฟฟ้า ระบบโทรคมนาคม ระบบราง)ที่นอกจากจะช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว ต่อไปจะมีมูลค่าสูงขึ้น หลังจากนั้นจะมีการเติมเงินหยวนเข้าไป
แนวทางที่2 จีนสร้างเปโตรหยวน เพื่อเลี่ยงการใช้ดอลล่าร์ในการซื้อน้ำมัน จีนกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐไปแล้ว ด้วยการนำเข้าประมาณ10กว่าล้านบาเรลล์ต่อวัน จะซื้อน้ำมันทีต้องเอาดอลล่าร์ที่ได้จากการส่งออกไปแลกซื้อเนื่องยังโลกยังคงอยู่ในระบบเปโตรดอลล่าร์ที่สหรัฐสร้างขึ้นมาในปี 1974
สหรัฐใช้เปโตรดอลล่าร์ในการสร้างดีมานด์เทียมสำหรับดอลล่าร์ เพื่อว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดิฯถูกแบล็คเมล์ให้ขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์ แล้วเอาดอลล่าร์กลับไปรีไซเกิ้ลด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทำให้สหรัฐก่อหนี้ต่อไปได้เรื่อยๆในการดูแลแสนยานุภาพทางทหาร
ผู้นำประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ท้าทายเปโตรดอลล่าร์ ต่างก็ประสบกับโศกนาฎกรรมท้ังนั้น ไม่ว่าจะเป็นซัมดัม ฮุสเซนแห่งอิรัค หรือมวมมาร์ กัดดาฟี่แห่งลิเบีย ที่บังอาจคิดขายน้ำมันเป็นเงินสกุลอื่นๆ หรือแลกเป็นทองคำ จึงถูกโค่นล้มจากอำนาจและถูกฆ่าตาย
จีนเองก็แบกภาระของการสร้างดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ด้วยการเอาดอลล่าร์ที่ได้จากการส่งออกไปรีไซเกิ้ลซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ไม่จ่างจากญี่ปุ่น หรือกลุ่มประเทศผู้ส่งออกและผู้ผลิตน้ำมันที่อยู่กับดักเดียวกัน
การที่สหรัฐใช้ดอลล่าร์เป็นอาวุธในการแซงชั่นประเทศผู้ผลิตน้ำมันทำให้จีนมีปัญหาในการซื้อน้ำมัน โดยจีนซื้อน้ำมันจากผู้ผลิตที่สำคัญเช่น ซาอุดิฯ โอมาน อิรัก อิหร่าน ไม่นับรัสเซียที่จีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ อิรัก อิหร่านและรัสเซียถูกสหรัฐแซงชั่นทำให้มีความเสี่ยงที่ใครจะเอาดอลล่าร์ไปซื้อน้ำมันจากประเทศเหล่านี้ เนื่องจากสหรัฐมีกฎหมายดูแลควบคุม3ประการคือ 1. Extra-Territorial หมายความว่าการใช้ดอลล่าร์นอกดินแดนสหรัฐยังอยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐ เพราะว่าการทำธุรกรรมดอลล่าร์ท้ายที่สุดแล้วต้องเกี่ยวข้องกับแบงก์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง และแบงก์มีหน้าที่ต้องรายงานให้กระทรวงการคลังสหรัฐได้รับรู้ ใครที่ใช้ดอลล่าร์ไปซื้อน้ำมันอิหร่านจะถูกรายงาน หรือถูกลงโทษในช่วงที่สหรัฐแซงชั่นอิหร่าน 2. Sanctions คือการที่สหรัฐแซงชั่นประเทศที่ถือว่าเป็นศัตรู นอกจากจะไม่ค้าขายด้วย ยังห้ามไม่ให้ประเทศอื่นค้าขายกับประเทศที่โดนแซงชั่น เช่นคิวบา หรืออิหร่าน เกาหลีเหนือ 3. Retroactivity คือกฎหมายสามารถบังคับใช้ย้อนหลังได้ ในกรณีที่แอบไปใช้ซื้อน้ำมันจากอิหร่าน เมื่อเจ้าหน้าที่สหรัฐตรวจพบทีหลังสามารถที่จะลงโทษย้อนหลังได้ จีนจึงหาทางแก้ด้วยการสร้างเปโตรหยวน คือใช้หยวนซื้อน้ำมันกับประเทศผู้ผลิตน้ำมันโดยตรงไม่ต้องใช้ดอลล่าร์ แม้ว่าในปัจจุบันเปโตรหยวนยังมีปริมาณไม่มากเท่าที่ควร แต่ในประแอฟริกาที่จีนค่อนข้างจะมีอิทธิพล มีการซื้อน้ำมันเป็นหยวน เนื่องจากจีนให้เครดิตหรือความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ จีนมีการสร้างสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า โดยโค๊ดเป็นเงินหยวนที่ตลาดเซี่ยงไฮ้
การสร้างเปโตรหยวนถือว่าเป็นการท้าทายเปโตรดอลล่าร์โดยตรง ที่จีนทำได้เพราะว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ ถ้าเป็นประเทศอื่นๆป่านนี้คงจะโดนบอมบ์เละแล้ว อิหร่านหรืออิรักก็ต้องดิ้นขายน้ำมันเป็นเงินสกุลอื่นเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบจากสหรัฐทำให้เปโตรดอลล่าร์มีอิทธิพลน้อยลง
แนวทางที่ 3 จีนพยายามเลี่ยงหรือลดการใช้ดอลล่าร์ในการค้าขายระหว่างประเทศ โดยมีข้อตกลงพิเศษที่จะซื้อพลังงานจากรัสเซียเป็นหยวน และเวลารัสเซียซื้อสินค้าจากจีนจะใช้รูเบิ้ล การใช้เงินสกุลท้องถิ่นของตัวเองทำให้สะดวก ไม่ต้องสำรองดอลล่าร์ทั้ง2ฝ่าย เพราะว่าไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐ ไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน2 ต่อ
รัสเซียล้ำหน้ากว่าจีนในการดั้มดอลล่าร์ หรือท้าทายเปโตรดอลล่าร์ โดยรัสเซียขายน้ำมันเป็นเงินยูโรเป็นหลักแทนดอลล่าร์ เพื่อเอาใจยุโรป และเสี้ยงให้ยุโรปหมางใจกับสหรัฐอีกต่อหนึ่งกองทุนมั่งคั่งของรัสเซียทิ้งดอลล่าร์จนหมดพอร์ต ส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางรัสเซียทิ้งดอลล่าร์ไปมากเหมือนกัน โดยหันไปถือทองคำ หยวน และยูโรเพิ่มแทน
นึกภาพเอาว่า ดอลล่าร์ต้องเสื่อมความน่าเชื่อถือลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าจีนผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และเป็นประเทศที่มีการค้าขายมากที่สุดในโลกมีการดั้มดอลล่าร์ออกมา หรือเลี่ยงการใช้ดอลล่าร์ ในขณะเดียวกันรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกขายน้ำมันโดยไม่รับดอลล่าร์ ทำให้มาร์เก็ตแคปของดอลล่าร์ลดลงไปเรื่อยๆ จีนมีการใช้เงินหยวนและเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศอื่นในเอเชีย แอฟริกาเพื่อลดการใช้ดอลล่าร์ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่นับวันจะขยายตัว
ประการที่ 4 จีนสร้างระบบชำระเงินระหว่างประเทศของตัวเองเพื่อรองรับเงินหยวนในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ เพราะว่าถ้าต้องพึ่งพาสหรัฐและระบบชำระเงิน หรือระบบโอนเงิน ระบบข้อมูลของSWIFT วันใดที่จีนถูกแซงชั่นจะทำให้ระบบแบงกิ้งเป็นอัมพาต
การที่จีน หรือรัสเซียท้าทายได้แสดงว่าต้องยืนหยัดกับแรงเสียดทาน แรงกดดัน หรือการแบล็คเมล์จากสหรัฐได้ เพราะว่าสหรัฐจะทำทุกวิถีทางในการปกป้องการเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์จนถึงนาทีสุดท้าย หมายความว่าแสนยานุภาพทางทหารของจีนและรัสเซียต้องพร้อมที่จะรับมือกับกองทัพสหรัฐ ระบบเศรษฐกิจภายใน และระบบการเงินต้องเข็มแข็งในการรับมือจากภัยของการถูกแซงชั่น
ฐานะการเงินของรัสเซียเวลานี้แกร่งมากเพราะว่ามีทองคำสองรองสูง และทีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกือบ$600,000ล้าน และมีทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุดในโลก ไม่นับบ่อน้ำมันในทวีปอาร์คติก ส่วนจีนไม่ต้องพูดมีทองคำสำรอง30,000ตัน และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$3.1ล้านล้าน และมีระบบอุตสาหกรรมการผลิตที่เข้มแข็งมากที่สุดในโลก และมีตลาดภายในที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยประชากร1,400ล้านคน 10/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/374664217361569
21. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
ดังที่ได้กล่าวก่อนหน้านี้ จีน รัสเซียและประเทศต่างๆรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวที่ต้องอยู่ภายใต้ระบบดอลล่าร์ ที่มีการก่อหนี้ผ่านUS Treasuries หรือพันธบัตรรัฐบาลแล้วให้ประเทศอื่นถือครองเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อช่วยรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปไฟแนนซ์การใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลสหรัฐ ที่ดำเนินนโยบายการขาดดุลตั้งแต่ปี 1951 เพื่อก่อสงครามและดูแลฐานทัพกว่า800แห่งทั่วโลก
ระบบมาตรฐานดอลล่าร์ (dollar standard)นี้ ซึ่งความจริงแล้วไร้มาตรฐานเพราะว่าเป็นระบบหนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า มีหัวใจอยู่ที่พันธบัตรรัฐบาลที่ทำหน้าที่เป็นรีเชิร์ฟให้ประเทศต่างๆถือครองแทนทองคำหลังจากสหรัฐยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำในปี 1971 ทำให้รัฐบาลสหรัฐก่อหนี้ได้โดยไม่ต้องคิดถึงวันพรุ่งนี้ เพราะว่าสามารถพิมพ์ดอลล่าร์มาจ่ายหนี้ได้ตลอดเวลา
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มั่นคงที่สุดในโลกในระบบการเงินโลก ดีกว่าทองคำเสียอีก ท้ังๆที่ทองคำมีจำกัด และเป็นเงินที่แท้จริง ส่วนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นหนี้ แต่มีข้ออ้างว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ส่วนทองคำเป็นโลหะที่ไม่มีประโยชน์ใช้สอยอะไร แถมต้องเสียค่าดูแลรักษาในตู้เชฟ คนที่พูดจาชุ่ยๆแบบนี้คือลุงวอร์เรน บัฟเฟตตส์ ที่แท้ที่จริงแล้วเป็นตัวแทนของวอลล์สตรีทที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโปรโหมทวิถีตลาดทุนของวอลล์สตรีท
ลอนดอนและวอลล์สตรีทร่วมมือกันใช้เวทย์มนต์ดำสร้างหนี้ของรัฐบาลสหรัฐให้มีค่ามากกว่าทอง โดยใช้ธนาคารในเครือทุบราคาทองคำมาตลอดไม่ให้ราคาทองคำสูงขึ้นเพื่อสะท้อนเงินเฟ้อที่แท้จริง ที่เกิดจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบของธนาคารกลางและการขยายตัวของระบบเครดิตของธนาคารพานิชย์
ถ้าราคาทองสูงขึ้นค่าของดอลล่าร์จะตกจึงต้องไม่ให้ทองมีราคาขึ้น ซึ่งจะทำให้ความมั่นใจในดอลล่าร์หายไป ทองจึงเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของดอลล่าร์
หลังจากที่ระบบมาตรฐานทองคำถูกยกเลิก ระบบหนี้ และระบบเครดิตของสหรัฐบูมทำให้ตลาดหุ้นเฟื่องฟู แต่สิ่งที่ตามมาคือความเหลื่อมล้ำ เงินเฟ้อ การขาดดุลที่เพิ่ม หนี้ที่เพิ่ม สงครามการเงิน โดยที่ผู้ถือทรัพย์สินดอลล่าร์ได้ประโยชน์ไม่คุ้มกับที่เสียไปถ้าจะต้องติดกับดักดอลล่าร์อย่างนี้ไปตลอด แม้ว่าสิ่งของบางอย่างอาจจะถูกลงเช่นสินค้าอีเลคโทรนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า แต่ค่าครองชีพไม่ว่าจะเป็นค่าบ้านที่อยู่อาศัย ค่าการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าอาหารมีราคาสูงขึ้น
นอกจากนี้สหรัฐยังติดอาวุธให้ดอลล่าร์ โดยแซงชั่นประเทศใดก็ได้ที่ดำเนินนโยบายต่างประเทศขัดกับผลประโยชน์ของสหรัฐไม่ให้เข้าถึงการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศผ่านดอลล่าร์ เหมือนกับที่อิหร่าน หรือรัสเซียได้ประสบมา
จีนยอมอยู่ใต้ศอกของระบบดอลล่าร์มาตั้งแต่เปิดประเทศในปี 1979 และก็ได้ประโยชน์จากดอลล่าร์อย่างเต็มที่ในการสร้างความเจริญและการเติบโตของเศรษฐกิจจีนให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก จนจีดีพีจีนใหญ่อันดับ2ของโลก มีระบบอุตสาหกรรมการผลิตและซับไพลเชนที่เข้มแข็งที่สุดในโลก ทำให้ส่งออกได้มากที่สุดในโลก มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยพึ่งพาตัวเองได้ ต่อไปจีนอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง 5จี ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดั๊กเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้าหรือไร้คนขับ ที่สำคัญคนจีนมีรายได้มากขึ้น คนจีน800กว่าล้านคนได้ออกจากความยากจน
เมื่อสี จิ้นผิงขึ้นมามีอำนาจในปี 2012 จึงเข้าสู่ช่วงที่จีนที่อิ่มตัวกับความสัมพันธ์กับสหรัฐในรูปแบบพึ่งพากินน้ำใต้ศอก จึงทะยอยทิ้งดอลล่าร์ที่เคยถืออยู่สูงถึง$4ล้านล้านลงมา โดยเอาดอลล่าร์ไปซื้อทองคำเป็นหลัก ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีสำรองทองคำมากที่สุดในโลกในเวลานี้ โดยคาดว่าจีนน่าจะมีทองคำอยู่20,000-30,000ตัน ซึ่งจีนสามารถเอามาโชว์ หรือเอามาหนุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเงินหยวนก็ได้ในอนาคตเมื่อเวลาของการปลดแอกจากดอลล่าร์อย่างสมบูรณ์มาถึง
นอกจากนี้ จีนเอาดอลล่าร์ไปซื้อบ่อน้ำมัน ซื้อกิจการต่างประเทศ ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ รวมท้ังเอาไปซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ที่จำเป็นต่อระบบการผลิตแทน แต่ที่สำคัญจีนจะเอาดอลล่าร์ไปลงทุนในโครงการเส้นสายไหมใหม่เพื่อที่จะตัดขาดการพึ่งพาสหรัฐแบบตัดหางปล่อยวัด
โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในเส้นทางสายใหม่ที่จีนเอาดอลล่าร์ไปดั้ม$1.6ล้านล้านไปจนถึงปี 2025 ไม่ว่าจะเป็นระบบราง โรงไฟฟ้าระบบโทรคมนาคม ระบบขนส่ง ระบบน้ำเขื่อนใน3ทวีป ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่สามารถต่อยอดให้เกิดรายได้ทวีคูณในอนาคตไม่เหมือนกับการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่แทบจะไม่ได้ดอกเบี้ยอะไร
เวลาผ่านไปแล้ว50ปีที่ระบบมาตรฐานพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Treasuries Standard)ดำเนินมาหลังจากมีการยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำในปี 1971 ถือว่าระบบมาตรฐานพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่เกินอายุขัยที่ควรจะอยู่ ทำให้มีการผลักดันจากลอนดอนให้โลกเปลี่ยนจากดอลล่าร์ให้เงินSDRของIMFขึ้นมารับบทบาทแทน เพื่อที่จะรักษาอำนาจในการดูแลแท่นพิมพ์เงินของIMF ที่สามารถพิมพ์เงินสกุลโลกใหม่ได้ไม่จำกัด
สี จิ้นผิง รู้เกมSDRดีจึงได้ตั้งAsian Infrastructure and Investment Bank (AIIB) ขึ้นมาในปี 2016 เพื่อที่จะทำหน้าที่เหมือนกับทั้งธนาคารโลก และIMF เพื่อที่จะดันหยวนออกมาแข่งกับSDRในอนาคต
ต้องเข้าใจกันใหม่ว่าหยวนจะแข่งกับSDR ไม่ได้แข่งกับดอลล่าร์เพราะว่าลอนดอนกับวอลล์สตรีทก็รู้ตัวว่าเข็นดอลล่าร์ต่อไปไม่ไหว จึงหันมาสนับสนุนSDRแทน ต่อไปดอลล่าร์จะลดบทบาทลงทำหน้าที่เป็นเงินสกุลท้องถ่ินแทนเหมือนเงินบาท เงินริงกิต เงินรูปี ฯลฯ
AIIB มีการสร้างAsian Drawing Right(ADR)ให้เป็นทรัพย์สินรีเสิร์ฟ คล้ายๆกันกับSDR โดย1ADRแลกได้2 US Dollar ในขณะที่0.7021 SDRแลกได้ 1US dollar ADR จึงจะกลายเป็นเงินสกุลที่แข็งที่สุดในโลก เนื่องจากงบดุลของAIIBเข็มแข็งมากมีจิีน และประเทศสมาชิกกว่า103ประเทศหนุนหลัง และจะดำรงอยู่ในระบบบล็อคเชน ในฐานะที่เป็นเงินรีเสิร์ฟคล้ายๆกับSDR เงินADRจะไม่กระจายในหมู่ประชาชนคนทั่วไป แต่มูลค่าจะสะท้อนในตระกร้าเงินที่มีทองคำ เงินหยวนเงินสกุลอื่นๆ ส่วนดอลล่าร์จะมีน้ำหนักต่ำกว่า20%ในตระกร้าเงินนี้ เท่ากับว่าจีนกำลังลดบทบาทของดอลล่าร์
การเปิดตัวSDRเท่ากับเป็นการปลดแอกจากระบบดอลล่าร์ โดยการค้าขายการลงทุน หรือการทำธุรกรรมในหมู่ประเทศที่อยู่ในเส้นทางสายไหม One Belt One Roadจะใช้ADRเป็นหลัก รวมท้ังรัสเซียและประเทศในตะวันออกกลางที่จะขายน้ำมันเป็นADRก็ได้ เพราะว่าลูกค้าทั้งหลายจะอยู่ในเส้นทางสายไหมธนาคารกลางของประเทศสมาชิกสามารถถือADRเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหมือนกับการถือดอลล่าร์หรือทองคำในเวลานี้ การทำธุรกรรมของADR จะทำผ่านเทคโนโลยีบล็อคเชนเพื่อช่วยดูแลเสถียรภาพของระบบ หรือการบริหารปริมาณเงิน และสามารถทำให้ติดตามตรวจสอบการทำธุรกรรมของADRได้ จะมีการออกบอนด์ หรือตราสารการเงินต่างๆในรูปเงินสกุลADR ผู้ส่งออกหลังจากได้รับADRแล้วสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสกุลท้องถ่ินของตัวเองได้
ADR จะกลายเป็นทรัพย์สินทางการเงินที่สำคัญในเส้นทางสายไหม ควบคู่ไปกับการโปรโหมทเงินหยวนของจีน เมื่อเวลาผ่านไป สหรัฐจะไม่สามารถรักษาระบบรีไซเกิ้ลดอลล่าร์เพื่อไฟแนนซ์การใช้จ่ายที่เกินตัวของตัวเองได้อีกต่อไป ทำให้ต้องปรับตัวเรื่องวินัยการเงินการคลัง หรือไม่ก็ต้องสกัดไม่ให้AIIBกับADRได้แจ้งเกิดเต็มที่
การก่อสงครามการค้ากับจีน การโจมตีจีนเรื่องซินเจียง ฮ่องกง ไต้หวัน และการยกพลมาซ้อมรบที่ทะละจีนใต้จึงเป็นยุทธศาสตร์เฮือกสุดท้ายของสหรัฐในการMake America Great Againโดยรู้ทั้งรู้ว่าวาระสุดท้ายของดอลล่าร์ในการเป็นเงินสกุลหลักของโลกจะต่ออายุได้อีกไม่นาน เนื่องจากมีSDR และADRกำลังแต่งตัวมาแย่งบทเป็นพระเอกแทน 10/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/374128537415137
20. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
แล้วจีนจะยอมหรือไม่ถ้าหากว่ากลุ่มแองโกลอเมริกันผลักดันให้SDRของIMFเป็นเงินสกุลหลักของโลก และให้IMFรับทบาทเป็นธนาคารกลางของธนาคารกลางทั้งหลายเพื่อว่าโลกตะวันตกจะได้คอนโทรลระบบการเงินโลกต่อไปในศตวรรษที่ 21? แน่นอนว่า จีนกับรัสเซียไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ถ้าเห็นด้วยก็โง่เต็มแก่ เพราะว่าตามโครงสร้างของIMFแล้วที่ก่อตั้งโดยกลุ่มแองโกลอเมริกันไม่ได้โหวตเสียงเพื่อรับรองมติต่างๆตามหลักประชาธิปไตย แต่โหวตตามส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งสหรัฐถือหุ้นมากที่สุด16.5% รองลงมาคือญี่ปุ่น6.2% จีน 6.1% เยอรมันนี5.3% ฝรั่งเศส4.0% อังกฤษ4.0% อิตาลี3.0% อินเดีย2.6% รัสเซีย2.6% บราซิล2.2% แคนาดา2.2% ซาอุดิ อาราเบีย2.0% เศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่น4เท่า แต่เสียงโหวตของญี่ปุ่นในIMFมีมากกว่าจีน
จีนกับรัสเซียเสียงโหวตรวมกันได้แค่8.6%ที่เหลือก็เป็นหน้าม้าให้กลุ่มแองโกลอเมริกันทั้งนั้น รวมท้ังบราซิล อินเดียที่เป็นสมาชิกของBRICSแต่ชื่อ แต่หัวใจไปอยู่ฝั่งตะวันตกท้ังนั้น
ส่วนสยามประเทศไม่ต้องห่วง ถือแค่เศษหุ้น มีนโยบายพวกมากลากไป พวกมากไปทางไหนก็จะไปทางนั้น เชฟดี เพราะเรานิยมประชาธิปไตยยยย
ด้วยเหตุนี้ IMFจะทำทุกอย่างตามสกริ๊ปของผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกลุ่มแองโกลอเมริกัน หรือจะบอกได้ว่าSDRเป็นเงินของกลุ่มแองโกลอเมริกันก็ว่าได้ ไม่ได้เป็นเงินของสมาชิก190ประเทศ
เมื่อไม่เห็นด้วย จีนจึงเดินหน้าสร้างดิจิตัลหยวน พัฒนาระบบการเงิน และระบบชำระเงินภายในให้เข้มแข็ง สร้าง5จีเพื่อรองรับธุรกรรมทางการเงินในอนาคตให้มีความสามารถในการแข่งขัน สร้างระบบSWIFTของตัวเองเรียกว่าCross Border Interbank Payment Systemเพื่อเป็นแผนสำรองในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศในกรณีที่ถูกสหรัฐตัดขาดจากระบบSWIFT
ที่สำคัญจีนสร้างAsian Infrastructure and Investment Bank(AIIB)เพื่อปล่อยกู้โครงสร้างพื้นฐานในโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ที่จะผนวกเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกัน เพื่อผ่องถ่ายดอลล่าร์ออกไปและเพิ่มบทบาทของเงินหยวนในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
ในปัจจุบันAIIBกำลังทำหน้าที่เป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาเหมือนกับAsian Development Bankที่ญี่ปุ่นคุมอยู่ หรือธนาคารโลกที่สหรัฐคุมอยู่ ต่อไปAIIBอาจจะเพิ่มหน้าที่เหมือนIMF ก็ได้ในการเป็นธนาคารกลางของธนาคารกลางของสมาชิกประเทศที่เพื่อดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศสมาชิก โดยมีหยวนดิจิตัลเป็นเงินสกุลหลัก
ย้อนกลับมาดูรายละเอียดของกลไกในการสร้างSDRให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนยูเอสดอลล่าร์ที่หมดประโยชน์ หรือกำลังจะถูกเฉดหัวทิ้ง
กลุ่มแองโกลอเมริกันพยายามเอาใจจีนเหมือนกัน ด้วยการยอมให้เงินหยวนของจีนเข้าไปอยู่ในตระกร้าเงินSDR ของIMFตั้งแต่ปี 2016 โดยในตระกร้าเงินSDR มีเงินดอลล่าร์ ยูโร ปอนด์ เยนถ่วงน้ำหนักอยู่แล้ว โดยในปัจจุบันนี้ IMFมีเงินกองทุนที่สมาชิกประเทศส่งเงินสมทบประมาณ973,000SDR ซึ่งทำให้IMFสามารถปล่อยกู้เงินให้ประเทศที่เจอวิกฤติการเงินได้707,000ล้านSDR หรือประมาณ$1ล้านล้าน
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง1ยูเอสดอลล่าร์กับ SDRอยู่ที่0.7021
เงินหยวนของจีนเข้าตระกร้าเงินของIMFได้เปรียบเหมือนจีนควงกระบี่คนเดียวแล้วเดินเข้าดงเสือสิงห์กระทิงแรดที่คอยจ้องจะเขมือบ แต่ลองใจจีนก่อนว่าจะเข้าพวก หรือจะแยกวงเล่น
เอาเข้าจริงแล้ว จีนกับรัสเซียไม่ได้ให้ค่ากับยูเอ็น IMFหรือWorld Bankที่รับใช้โลกตะวันตกมากกว่าที่จะรักษาความยุติธรรมทางการเมืองและทางการเงินให้กับโลกใบนี้ เมื่อถึงเวลาจริงๆ คงจะปล่อยให้องค์กรที่ยิ่งใหญ่นี้เฉาตายไปเอง หรือไม่ก็ยุบทิ้งไปเลย ไม่ให้รกหูรกตา
ช่วงระหว่างปี 1971 กับปี1981 IMFมีการปล่อยกู้เงินSDRเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งIMFสวมบทพระเอกในวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 1997โดยปล่อยกู้ให้ไทย อินโดเนเซียและเกาหลีใต้ หลังจากนั้น บทบาทของIMFดูเหมือนว่าจะเงียบๆไป
พอเกิดวิกฤติวอลล์สตรีทปี 2008-2009 IMFกลับมาเป็นพระเอกอีกด้วยการปล่อยกู้SDRให้กับประเทศในยุโรปเป็นหลักที่เจอวิกฤติในปี 2010ที่ลามจากตลาดสหรัฐเข้ายุโรป
ในเดือนมกราคมปี 2011 IMFเปิดแผนมาสเตอร์แพลนซึ่งๆหน้าที่จะเอาSDRมาแทนดอลล่าร์ แต่คนอเมริกันหรือคนทั่วไปไม่ให้ความสำคัญ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องจินตนาการเพ้อฝัน
ในแผนของIMFจะมีการสร้าง และการพัฒนาตลาดบอนด์สำหรับSDR มีดีลเลอร์SDR และมีเครื่องมือทางการเงินต่างๆที่จะรองรับธุรกรรมของSDRไม่ว่าจะเป็นตลาดซื้อคืน (repurchase market) ตลาดอนุพันธุ์ ระบบเคลียริ่ง เซทเทิ้ลเมนท์ รวมทั้งเครื่องไม้เครื่องมือหรือผู้เล่นต่างๆที่จะทำให้ตลาดบอนด์SDRมีสภาพคล่องที่สูงเหมือนกับตลาดพันธบัตรสหรัฐในเวลานี้ หรือให้ก๊อปปี้ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไปเลย
ในปี 2016 ธนาคารโลกประเทศว่าจะระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรในรูปของเงินสกุลSDR โดยให้สถาบันการเงินเข้ามาลงทุน ธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) ซึ่งเป็นธนาคารพานิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของจีนทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาการเงิน และเป็นอันเดอร์ไรท์ดีลนี้ แบงก์จีนทำหน้าที่ช่วยเอาพันธบัตรไปขายให้นักลงทุน ถ้าขายไม่หมดจะรับซื้อเข้าพอร์ตเอง จีนยินดีเล่นตามเกมเพื่อเรียนรู้ระบบ เพื่อดูว่าโลกตะวันตกกำลังเล่นอะไรกัน
https://dailyreckoning.com/get-ready-for-world-money
นายJim Rickards ผู้แต่งหนังสือThe Death of Money และเป็นซีไอเอทางการเงินบอกว่า การเปลี่ยนแปลงการเป็นเงินสกุลหลักของโลกจากดอลล่าร์มายังSDR อาจจะเกิดชั่วข้ามคืน โดยไม่มีใครตั้งหลักก็ได้ เพราะว่าSDRแต่งตัวชุดขาวคอยเข้ารับตำแหน่งแล้ว
เขาบอกว่าดอลล่าร์จะลดบทบาทเป็นเพียงเงินท้องถิ่นเหมือนเงินบาท ในระยะแรกคนทั่วไปอาจจะไม่มีSDRใช้ แต่อาจยังคงใช้เงินสกุลของตัวเอง แต่ราคาน้ำมัน ราคาทองคำ หรือการทำเซทเทิ้ลเม้นท์ทางการเงินระหว่างประเทศ หรืองบดุลของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายจะโชว์เงินสกุลSDR แทนที่จะเป็นดอลล่าร์เหมือนอย่างปัจจุบัน
https://www.financialsense.com/contributors/jim-rickards/death-of-money-interview-part-2
ประเด็นที่สำคัญที่ต้องพิจารณาคืองบดุลของเฟด หรือธนาคารกลางของสหรัฐมีการลีเวอร์เรจ80:1 ในขณะที่งบดุลของIMFอยู่ที่3:1 เมื่อIMFเป็นธนาคารกลางของโลกแล้วจะมีอำนาจในการพิมพ์เงิน หรือเพิ่มสภาพคล่องได้ไม่มีขอบเขตจำกัด ในขณะที่เฟดจะพิมพ์เงินเพิ่มงบดุลถึง$10ล้านล้านภายในปี 2021นี้ ทำให้หลายคนตาเหลือกว่าทำได้อย่างไร เพราะเฟดมีเงินกองทุนแค่$100,000ล้านเท่านั้น
SDRพิมพ์เงินได้ไม่จำกัดคือความฝันอันสูงสุดของกลุ่มแองโกลอเมริกัน
สำหรับเรื่องทางออกของจีนจากกับดักดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ และกับดักที่ใหญ่กว่าคือSDRจะก้าวข้ามอย่างไร รวมท้ังบทบาทของหยวนดิจิตัลจะมีการอธิบายในบทต่อไป 9/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/373556184139039
19. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
อังกฤษมีการเตรียมการสร้างเงินสกุลหลักของโลก (World Currency)มานาน ก่อนที่จะผลักดันให้ยูเอสดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนเงินปอนด์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2เสียอีก
ในเวทีประชุมBretton Woodsในรัฐนิวแฮมเชียร์ในสหรัฐอเมริกาในปี 1944 ที่อังกฤษเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างระเบียบการเงินโลกใหม่ โดยให้ดอลล่าร์อิงทองคำในระบบมาตรฐานทองคำ ให้ทุกประเทศอิงค่าเงินของตัวเองกับดอลล่าร์ เท่ากับว่าดอลล่าร์มีค่าเหมือนทองคำ (dollar is as good as gold) แล้วให้มีการจัดตั้งธนาคารโลกเพื่อปล่อยกู้ดอลล่าร์เพื่อการพัฒนาประเทศต่างๆที่เสียหายจากสงครามโลกเพื่อสร้างระบอบดอลล่าร์ และตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศเพื่อดูแลระบบการเงินระหว่างประเทศ หรือเอาเข้าจริงแล้วเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของธนาคารที่ปล่อยกูดอลล่าร์ ประเทศใดเจอวิกฤติขาดแคลนดอลล่าร์ไม่มีเงินคืนเจ้าหนี้แบงก์ ไอเอมเอฟจะเข้าไปอุ้มด้วยการให้กู้ดอลล่าร์ เพื่อประเทศที่เป็นหนี้จะได้เอาดอลล่าร์นั้นไปคืนแบงก์ เงื่อนไขของIMFในการกู้ก็ค่อนข้างโหดเหมือนอย่างที่ไทยแลนด์รู้รสชาติดีในช่วงต้มยำกุ้งปี 1997
นายJohn Maynard Keynes นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษที่มีอิทธิพลมากที่สุดในด้านเศรษฐศาสตร์ในศตวรรษที่ 20เป็นผู้อยุ่เบื้องหลังการประชุมBretton Woods เขาพูดถึงเงินสกุลหลักของโลกที่ให้ชื่อว่า "Bancor” แต่ว่าBancorไม่ได้เป็นที่ยอมรับ
กาลเวลาล่วงมาถึงปี 1969 IMFจึงได้เปิดตัวเงินSpecial Drawing Rights (SDR) ของตัวเอง เพื่อรองรับความปั่นป่วนของระบบการเงินโลก หรือจากวิกฤติดอลล่าร์ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐมีการใช้จ่ายงบประมาณเกินตัว ทั้งจากโครงการสวัสดิการสังคมภายใน และจากการทหาร ในขณะที่สงครามเวียดนามกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
ประธานาธิบดีนิกสันยกเลิกระบบBretton Woods หรือระบบมาตรฐานทองคำในปี 1971 เพราะว่าดอลล่าร์มีการพิมพ์ออกมามากกว่าทองคำสำรองจากนโยบายการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ต่างประเทศที่ถือดอลล่าร์ขาดความเชื่อมั่นในดอลล่าร์ กลัวว่าเงินเฟ้อจะตามมา มีการแห่ไปแปลงดอลล่าร์เป็นทองคำที่หน้าต่างของUS Federal Reserveโดยธนาคารกลางต่างๆ รวมท้ังอังกฤษที่น่าจะเอาทองสหรัฐไปมาก ทำให้รีเสิร์ฟทองคำสหรัฐจาก26,000ตันที่มีอยู่หลังสงครามโลกคร้ังที่ 2เหลืออยู่8,133ตัน
จะเห็นได้ว่าอังกฤษเหมือนกับมีแว่นวิเศษสามารถมองเห็นอนาคตอยู่เสมอ โดยจะมีการใช้มาตรการในการเตรียมความพร้อมก่อนวิกฤติจะเกิดทุกคร้ัง จะบอกว่ามีการแอบสร้างวิกฤติเพื่อสร้างโอกาสก็ว่าได้
อันเห็นได้จากเหตุการณ์ที่ไล่เลียงตามลำดับดังนี้:
-- อังกฤษมีการยึดธนาคารกลางของสหรัฐได้ในปี 1913 หลังจากนั้นสงครามโลกคร้ังที่ 1ก็เกิดในปีถัดมาคือในปี 1914 ทำให้อังกฤษมีทุนดอลล่าร์ไม่อั้นในการเข้าสู่ภาวะสงคราม -- ระบอบซาร์ของรัสเซียโดยทุนของวอลล์สตรีท และลอนดอนถูกทำลายในปี 1917 -- อังกฤษจัดตั้งรัฐยิวในปี 1917พร้อมๆกับการล่มสลายของระบอบซาร์ของรัสเซีย เพื่อวางให้นคนเยรูซาเอมเป็นศูนย์กลางของศาสนาโลกในวาระต่อไป -- ช่วงทศวรรษที่ 1930sอังกฤษมีการระดมขนทองคำทั่วโลกมากองที่หน้าตักของUS Federal Reserveก่อนส่งครามโลกคร้ังที่ 2เพื่อเตรียมการให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก -- ในปี 1933 อังกฤษมีส่วนสำคัญในการใช้กำลังภายในบีบให้ประธานาธบิดี Franklin D Rooseveltของสหรัฐออกกฎหมายยึดทองคำจากประชาชนคนอเมริกันเพื่อเอาทองคำไปให้US Federal Reserveที่สร้างสถานการณ์ว่าตัวเองไม่มีทองคำพอที่จะหนุนเงินดอลล่าร์ในระบบมาตรฐานทองคำที่สหรัฐใช้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพื่อที่จะปล้นทองคำจากคนอเมริกัน โดยใครไม่ขายทองคำให้รัฐบาลสหรัฐเจอปรับหนัก$10,000หรือจำคุก ราคาที่รัฐบาลสหรัฐรับซื้อคืนคือ$20ต่อออนซ์ หลังจากซื้อทองคำได้ระดับที่พอใจแล้ว รัฐบาลสหรัฐลดค่าเงินดอลล่าร์เมื่อเทียบทองคำลงอยู่ที่ระดับ$35ต่อออนซ์ ทำให้ผู้ถือทองคำได้กำไรมหาศาล ราคาทองคำที่$35ต่อออนซ์คงอยู่ตลอดไปจนถึงปี 1971 ซึ่งเป็นปีที่นิกสันยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ ทำให้ทองคำมีราคาพุ่งขึ้นหลังจากนั้น -- อังกฤษจัดประชุมBretton Woodsในปี 1944 ก่อนสงครามโลกยุติในปี 1945 แสดงว่าอังกฤษรู้ดีว่าจะเป็นประเทศผู้ชนะสงครามจึงมีการเตรียมการวางระบบที่จะดูแลระเบียบโลกหลังสงครามผ่านองค์กรทางการเมืองคือยูเอ็น องค์กรทางการเงินคือธนาคารโลกและIMFที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการประชุมBretton Woods -- เหมา เจ๋อตุงสร้างชาติใหม่ ให้ชื่อว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1946 หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และกองทัพปลดแอกประชาชนจีนสามารถยึดอำนาจได้เด็ดขาด จีนยังเป็นวุ้นอยุ่ในเวลานั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยที่สำคัญอะไรในระบบการเงินโลก -- IMFสร้างSDR ขึ้นมาในปี 1969 หรือ2ปีก่อนที่นิกสันจะยกเงินระบบมาตรฐานทองคำ ซึ่งจะทำให้ระบบการเงินโลกมีความผันผวนจากการขยายตัวของเครดติในระบบธนาคาร เนื่องจากดอลล่าร์จะพิมพ์ออกมาไม่อั้นเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้วอลล์สตรีทและลอนดอน ถ้าดอลล่าร์ทำหน้าที่เงินสกุลหลักของโลกต่อไปไม่ได้ จะได้มีแผนสองรองรับคือให้SDRจะเข้ามารับบทบาทแทน -- ประชาธิบดีนิกสันยกเลิกการผูกดอลล่าร์กับทองคำในปี 1971 -- เฮนรี่ คิสซิเจอร์เดินหน้าสร้างเปโตรดอลล่าร์ในปี 1972 เพื่อเอาบ่อน้ำมันของตะวันออกกลางมาสร้างดีมานด์เทียมให้ดอลล่าร์
-- คิสซิงเจอร์เปิดสัมพันธิ์กับจีนในปี 1972 เพื่อเตรียมสร้างจีนให้เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก เพื่อช่วยในการรีไซเกิ้ลดอลล่าร์ หรือสร้างดีมานด์เทียมให้ดอลล่าร์เหมือนกับญี่ปุ่น เยอรมันนีที่รับบทบาทนี้หลังสงครามโลก -- อังกฤษมีบทบาทสำคัญหรืออยู่เบื้องหลังการสร้างระเบียบโลกหลังสงครามโลกคร้ังที่สองมีแนวอุดมการณ์ค้าขายเสรี การเงินเสรี เสรีนิยมประชาธิปไตยโดยให้สหรัฐออกหน้าแทน เพื่อต้อนทุกประเทศให้สนับสนุนการสร้างดีมานด์เทียมเพื่อว่าสหรัฐจะได้ใช้จ่ายดอลล่าร์เกินตัวเพื่อช่วยรักษาจักรวรรดิสหรัฐ และจักรวรรดิอังกฤษที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมที่แยบยลกว่านั่นเอง --นายมาร์ค คาร์เนย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารอังกฤษออกมาบอกว่าดอลล่าร์หมดประโยชน์ในการเป็นเงินสกุลหลักของโ ลกในเดือนสิงหาคมปี 2019 พอเข้าปี 2020ก็เกิดวิกฤติโควิดแพร่ระบาดทั่วโลก ความบังเอิญในโลกนี้ไม่มีจริงๆ
9/8/2021 หมายเหตุภาพถ่ายของJohn Maynard Keynes ที่เป็นโต้โผในการจัดประชุมBretton Woodsในปี 1944
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/373366270824697
เรื่องราวมีทั้งหมด 37 ตอน กำลังสนุกเปิดอ่านต่อหน้าเลย 2
18. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
แผนการของอังกฤษ และพวกอิลิทโลก (global elites)ในการผลักดันให้มีการสร้างเงินสกุลโลกใหม่แทนยูเอสดอลล่าร์ผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งจะทำตัวเป็นธนาคารกลางของธนาคารกลาง (central bank of central banks) เราเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเวลานี้ว่า IMFกำลังแต่งตัวหล่อเพื่อรับบทบาทเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาเพื่อกอบกู้วิกฤติโลกที่เกิดจากโควิด-19
นายมาร์ค คาร์เนย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของอังกฤษได้แบบไต๋ออกมาในปี 2019 ว่าได้เวลาแล้วที่โลกเราจะเพ่ิมบทบาทให้IMFให้รับหน้าที่สร้างเงินสกุลโลกใหม่เรียกว่าSynthetic Hegemonic Currencyแทนยูเอสดอลล่าร์ที่ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเงินรีเสร์ฟของโลกได้อีกต่อไป เพราะว่าดอลล่าร์ไม่สามารถแก้ปัญหากับดักสภาพคล่องของโลก ที่ดอกเบี้ยลงมาต่ำเป็นประวัติการณ์ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซบเซา นอกจากนี้ สัดส่วนของการค้าระหว่างประเทศของประเทศที่กำลังพัฒนาเพิ่มมาเป็น60%ของการค้าโลกแล้ว
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานว่าIMFได้อนุมัติให้มีการตั้งกองทุน$650,000ล้านเพื่อกอบกู้วิกฤติการสภาพคล่องของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนาที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ทั้งจากเรื่องหนี้สินกับสภาพคล่อง นี้คือเม็ดเงินที่ใหญ่ที่สุดที่ทางIMFได้มีการตั้งขึ้นมาในประวัติศาสตร์ขององค์กรระหว่างประเทศนี้ที่มีสมาชิกประเทศรวมกัน190ประเทศ นางKristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการใหญ่ของIMFออกมาบอกว่า เม็ดเงิน$650,000ล้านของIMFเปรียบเหมือนการฉีดยาเข้าแขนเพื่อบูสเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก เหมือนกับที่คนท้ังโลกต้องได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อบูสภูมิต้านทานของร่างกายในการรับมือกับไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดในเวลานี้
ในปี 2009 หรือในช่วงวิกฤติการเงินของวอลล์สตรีท IMFมีการเตรียมกองทุน$250,000ล้านเพื่อช่วยสภาพคล่องของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงิน ซึ่งเราก็ได้เห็นประเทศในยุโรปส่วนมากขอกู้จากวงเงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกศ ฮังการี สเปน ไซปรัส
ก่อนหน้านั้นในวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 1997 IMFให้กู้ไทยแลนด์$17,200ล้าน และให้กู้กับอินโดเนเซียและเกาหลีใต้อีกด้วย เนื่องจากขาดสภาพคล่องดอลล่าร์ กู้ดอลล่าร์เกินตัว พอดอลล่าร์หมดหน้าตักของธนาคารแห่งประเทศไทย ค่าเงินทุบเทขายหรือถูกโจมตี ทำให้เกิดวิกฤติอัตราแลกเปลี่ยน วิกฤติสถาบันการเงินและวิกฤติเศรษฐกิจโดยรวมพร้อมๆกัน
สิ่งที่นายJohn Connally รมว คลังสหรัฐพูดในปี 1971ที่ว่าThe dollar is our currency, but it is your problem จึงไม่ผิดนัก ที่ดอลล่าร์เป็นเงินของสหรัฐ แต่มันเป็นปัญหาของคุณที่ไปใช้ดอลล่าร์เอง ไทยกู้ดอลล่าร์แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยพิมพ์ดอลล่าร์ไม่ได้ พิมพ์ได้แต่เงินบาท พอเจ้าหนี้ทวงดอลล่าร์จึงไม่มีดอลล่าร์พอที่จะชำระหนี้เพราะว่าใช้ล่วงหน้าไปแล้วและหมุนดอลล่าร์คืนเงินกู้ไม่ทัน ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ที่พิมพ์ดอลล่าร์ได้ก็ไม่ได้มาช่วยไทย เพราะว่าสมน้ำหน้าที่ใช้ดอลล่าร์เอง
นายโรเบิร์ต รูบิน รมวคลังสหรัฐสมัยคลินตันเป็นผู้ที่บล็อคไม่ให้รัฐบาลสหรัฐช่วยไทย เพราะว่าต้องการบีบให้ไทยเข้าโครงการโหดของไอเอ็มเอฟ เพื่อเจอเงื่อนไขที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเลวร้ายลงไปจะได้เลหลังขายของถูก ประธานาธิบดีคลินตันเขียนหนังสือภายหลังว่า รู้สึกเสียใจที่สหรัฐไม่ได้ช่วยไทยแม้แต่เหรียญเดียวในวิกฤติต้มยำกุ้ง ทั้งๆที่ไทยเป็นพันธมิตรที่ดีกับไทยมาตลอด ไม่เหมือนกับวิกฤติเปโซของเม็กซิโกในปี 1995 ที่รัฐบาลคลินตันจัดแจงให้IMFปล่อยกู้ให้เม็กซิโก$50,000ล้าน
ความจริง รัฐบาลจิ๋วของไทยมีการเจรจากับจีนเพื่อเหมือนกันในทางลับเพื่อขอเงินช่วยเหลือจากจีน ทางจีนมีรีเสิร์ฟมากพอที่จะช่วยไทยแต่ขอให้ไทยเปิดเผยฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศว่าเหลือเท่าใด แต่ฝ่ายไทยเล่นตัวอย่างไรไม่ทราบไม่ยอมเปิดเผย แถมถูกสหรัฐกดดันให้เข้าโครงการไอเอ็มเอฟ ไปๆมาๆไทยไม่มีทางเลือกตั้งเข้าโรงเชือดของIMF
เมื่อเฟดไม่ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางช่วยไทย IMFจึงสวมบทบาทเป็นธนาคารกลางของธนาคารกลางแทน พร้อมกับตั้งเงื่อนไขมหาโหดให้ไทยต้องยอมเซ็นเพื่อแลกกับสภาพคล่องที่IMFให้ไทย ผลที่ตามมาของวิกฤติในครั้งนั้นทำให้ไทยต้องเปิดเสรี และธุรกิจของไทยไม่ว่าจะเป็นแบงก์ หรือธุรกิจขนาดใหญ่ต้องตกเป็นของต่างชาติที่เข้ามาซื้อของได้ในราคาถูก
กลับมาพูดถึงในวิกฤติโควิดรอบปัจจุบันนี้ IMFเตรียมการล่วงหน้าตั้งแต่ปีที่แล้วที่จะดันกองทุน$650,000ล้านออกมา แต่ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่คือสหรัฐไม่เห็นด้วย เพราะว่าประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ชอบที่สหรัฐต้องเอาเงินไปอุดหนุนองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ โดยที่คนอเมริกันไม่ได้ประโยชน์ตามสโลแกนAmerica First นายสตีฟ มนูชิน รมว คลังของทรัมป์ก็ให้ความเห็นในเชิงที่ไม่เห็นด้วย เพราะว่าIMFเป็นองค์กรที่จัดสรรโควต้าตามทุนที่สมทบ หรือสัดส่วนการถือหุ้น ประเทศที่ถือหุ้นมาก ก็จะได้โควต้าการจัดสรรเงินกู้มากจากIMF ถือหุ้นน้อยก็ได้เงินกู้น้อย เพราะฉะนั้นตั้งกองทุนก็ไม่ได้ประโยชย์อะไร โดยที่70%ของโควต้าIMFจะไปประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่G-20เหลือเพียง3%ไปยังประเทศที่มีรายได้ต่ำ
ทำให้แผนการของIMFต้องสะดุด มาถึงสมัยของโจ ไบเดนที่มีนางจาเน็ต เยลเลนเป็นรมว คลังพยายามที่จะล็อบบี้ให้IMFปรับเปลี่ยนโควต้าที่ให้เงินส่วยเหลือประเทศที่มีรายได้ต่ำจากกองทุน$650,000ล้าน โดยมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือ เพิ่มบทบาทของIMFให้เป็นธนาคารกลางที่เด่นชัดเจนยิ่งขึ้น และจะเป็นการวางรากฐานให้เงินSDRของIMFเป็นเงินสกุลหลักของโลกในวาระต่อไป
มีการปรับเปลี่ยนเงินกู้โควต้าของไอเอ็มเอฟ โดยที่50%ของเงินกู้ในกองทุน$650,000ล้านนี้จะจัดสรรให้ประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่เหลือ42%ให้ประเทศที่กำลังพัฒนา หรือถ้าจะแจกแจงลงไป ประเทศที่มีรายได้ต่ำจะได้รับโควต้า$21,000 ล้านในกรณีที่เกิดวิกฤติการเงิน และ$212,000ล้านให้ประเทศที่กำลังพัฒนา
โจ ไบเดนกับบอริส จอหฺนสัน รมวอังกฤษล็อบบี้กลุ่มG7ในการประชุมซัมมิทที่อังกฤษในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาให้สนับสนุนการจัดสรรเงินกู้IMF จำนวน$100,000ล้านให้กับประเทศที่มีรายได้ต่ำ แต่ในการประชุมของกลุ่มG-20ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีการอนุมัติแผนการตั้งกองทุน$650,000ล้านของIMFแต่ไม่ได้พิจารณารายละเอียดเรื่องการจัดสรรโควต้าว่าสัดส่วนประเทศที่พัฒนากำลังพัฒนา หรือมีรายได้ต่ำเช่นประเทศในแอฟริกาจะได้รับโควต้าจัดสรรเท่าใด
ถ้าจะว่าไปแล้ว เยลเลนเป็นอเมริกัน ที่ไม่ได้เป็นอเมริกันที่ชาตินิยมจริง เพราะว่าเธอกำลังสมคบกับอังกฤษกับพวกอิลิทโลกในการล้มดอลล่าร์ เพื่อเปิดทางให้SDRเป็นเงินสกุลโลกแทนดอลล่าร์ โดยที่จีนกับรัสเซียไม่ต้องออกแรงมาก แต่ต้องเตรียมรับมือกับSDRแทน
ดูพฤติกรรมแล้ว จะบอกว่าเยลเลนชาติก็ได้นะ แต่เรื่องขายชาติไม่มีใครเกินประธานาธิบดี Woodrow Wilsonที่ยอมยกระบบธนาคารกลางของสหรัฐให้ไปอยู่ภายใต้ความเป็นเจ้าของกับพวกรอธไชด์กับพวกร็อคกี้เฟลโลด้วยการเซ็นUS Federal Reserve Actในปี 1913ให้เป็นกฎหมาย ทำให้ระบบการเงินของสหรัฐตกอยู่ในมือของวอลล์สตรีทอย่างสมบูรณ์จนถึงทุกวันนี้
9/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/373314977496493
17. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
สี จิ้นผิงของจีน หรือวลาดิเมียร์ ปูตินของและรัสเซียไม่เคยออกมาพูดอย่างเป็นทางการว่า เงินยูเอสดอลล่าร์กำลังหมดอายุขัยบวไป หรือหมดประโยชน์แล้วในการทำหน้าที่เงินสกุลหลักโลก
ผู้ที่ออกมาพูดว่ายุคของความยิ่งใหญ่ของดอลล่าร์กำลังสิ้นสุดลง และถึงเวลาแล้วที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆจะร่วมมือกันสร้างเงินสกุลโลกใหม่เพื่อมาทดแทนดอลล่าร์ คือนาย มาร์ค คาร์เนย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางของอังกฤษ
นายคาร์เนย์ใช้เวทีสัมนาของธนาคารกลางสหรัฐที่Jackson Hole รัฐไวโอมิงในวันที่ 23 สิงหาคม ปี2019 ที่ผ่านมา เพื่อส่งสัญญานว่า ได้เวลาเอาเงินดิจิตัลโลก (global digital currency)มาแทนดอลล่าร์ เพื่อที่จะแก้ปัญหาเงินฝากล้นระบบ และไม่มีการลงทุนในช่วงเวลา10ปีที่ผ่านมาเนื่องจากเงินเฟ้อต่ำ และดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
เขาบอกว่า สถานการณ์ของดอลล่าร์คล้ายกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงที่มีอิทธิพลเหนือตลาดการเงินเมื่อ100กว่าปีมาแล้ว โดยดอลล่าร์มาถึงจุดที่กลายเป็นอุปสรรคของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ทางแก้คือ ให้ประเทศต่างๆร่วมมือกันสนับสนุนเงินดิจิตัลโลกเพื่อที่จะปลดปล่อยดอลล่าร์ที่อยู่ในบัญชีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัฐบาลต่างๆที่สำรองเอาไว้เวลายามยาก ให้มีการเอาออกมาใช้
คาร์เนย์บอกว่า เงินดอลล่าร์ไม่สามารถทำหน้าที่เงินสกุลโลกได้อีกต่อไป เนื่องจากมันจะสร้างความไร้เสถียรภาพในระบบการเงินโลกที่กำลังเผชิญกับกับดักสภาพคล่องจากภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำ และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังถูกจัดระเบียบใหม่ แต่เงินดอลล่าร์กงเต็กยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิม เหมือนกับตอนที่ระบบเบรดตันวูดส์พังทะลายในปี 1971จากสหรัฐยกเลิกการผูกค่าดอลล่าร์กับทองคำทำให้ดอลล่าร์กลายเป็นเงินกระดาษ
นายคาร์นีย์บอกว่า กลุ่มประเทศเกิดใหม่ได้เพิ่มส่วนแบ่งกิจกรรมของเศรษบกิจโลกเป็น 60% จาก 45% ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อสิบปีก่อน
แต่เงินดอลลาร์ยังคงถูกใช้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของการสั่งซื้อสินค้าระหว่างประเทศ - มากกว่าส่วนแบ่งการนำเข้าสินค้าโลกถึงห้าเท่าของสหรัฐฯ - กระตุ้นให้เกิดความต้องการสินทรัพย์ดอลล่าร์และทำให้หลาย ๆ ประเทศต้องรับความเสี่ยงของการผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ผลพวงจากปัญหาระบบการเงินที่มีดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักทำให้เกิดลัทธิกีดกันการค้า และนโยบายประชานิยมขึ้นในโลก
นายคาร์นีย์เตือนว่า ความไม่สมดุลของอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาเหมือนกับที่โลกกำลังเผชิญในเวลานี้สอดคล้องกับการเกิดสงคราม วิกฤตการณ์ทางการเงิน และการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในระบบธนาคาร
ทางออกที่คาร์นีย์เสนอคือให้ประเทศต่างๆใส่เงินเข้าไปเพิ่มทุนให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นเงิน$3ล้านล้าน ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่แต่ละประเทศจะปกป้องระบบการเงินของตัวเองด้วยการถือครองหนี้หรือพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ
วิธีการนี้จะเป็นการสร้างระบบการเศรษฐกิจโลกแบบหลายขั้ว ที่จำเป็นต้องมีระบบการเงินระหว่างประเทศที่สมบูรณ์ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือIMFจะเป็นผู้ออกเงินดิจิตัล ซึ่งนายคาร์นีย์เรียกว่าSynthetic Hegemonic Currency
แม้ว่ามีแนวโน้มที่เงินหยวนของจีนจะมีศักยภาพที่จะเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไปเพื่อแข่งกับดอลล่าร์ แต่คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
ทางออกที่ดีที่สุดคือระบบการเงินแบบหลายขั้วที่หลากหลาย โดยที่ให้IMFเป็นเจ้ามือ และเทคโนโลยีสามารถเอามาใช้ในการสร้างเงินดิจิตัลได้
ค่อนข้างจะชัดเจนว่าอังกฤษสร้างดอลล่าร์ได้ และเมื่อดอลล่าร์หมดประโยชน์อังกฤษก็สามารถฆ่าดอลล่าร์ได้ เพื่อรักษาอำนาจในการควบคุมระบบการเงินโลกต่อไปผ่านIMFที่อังกฤษมีอำนาจเหนือ
อังกฤษครองโลกมาตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18ผ่านลัทธิล่าอาณานิคม และใช้เงินปอนด์เป็นเงินสกุลหลักของโลก เนื่องจากอังกฤษเป็นประเทศเล็กๆ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ หรือมีจำนวนประชาชนมาก จำเป็นต้องใช้ดินแดนของโลกใหม่เป็นแหล่งวัตถุดิบ และตลาด และหนุนให้อังกฤษเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจ
อังกฤษเป็นเกาะที่มีความรู้สึกแปลกแยกมาตลอดกับยุโรปแผ่นดินใหญ่ โลกใหม่ของทวีปอเมริกาเหนือหรือนิวเวิร์ลด์ จึงกลายเป็นนิวแอทแลนตีสของอังกฤษที่ต้องการแยกร่างทรง เพื่อว่าจะใช้อเมริกาเหนือเป็นฐานเพื่อกลับมาครอบงำยุโรป หรือโลกใบนี้อีกต่อหนึ่ง
แผนการสร้างนิวแอทแลนติสดำเนินมาตั้งแต่ควีนเอลิซาเบทที่1 (คศ 1533- 1603) มาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยควีนวิคเตอเรีย ( คศ 1819-1901 ) ที่อังกฤษมีดินแดนมากมายบนโลกจนพระอาทิตย์ไม่เคยตกดินและต่อเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน
อังกฤษจึงเปรียบเหมือนมังกร7หัว ฆ่าไม่ตาย แม้ว่าหัวหนึ่งจะถูกตัดขาด แต่ยังมีอีก6หัวที่มีฤทธิ์แยกเขี้ยวอาละวาดฟาดหางได้ ด้วยเหตุนี้จักรวรรดิอังกฤษจึงไม่เคยเสื่อม
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2อังกฤษรู้ดีว่า ไม่สามารถรักษาอาณานิคมได้อีกต่อไป เพราะว่าต้องใช้ทหาร และกำลังพลเป็นจำนวนมากในการดูแลอาณานิคมไม่ให้กระด้างกระเดื่อง เมื่อไม่สามารถรักษาอาณานิคมได้ จะรักษาปอนด์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกไม่ได้อีกต่อไปเหมือนกันจึงได้ส่งเสริมให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทน และปล่อยให้อาณานิคมได้รับเอกราช แต่หันมาควบคุมประเทศอาณานิคมเหล่านี้แบบแยบยลผ่านระบบคอมมอนเวลท์ (Commonwealth)
ระบบการเงินของสหรัฐตกอยู่ในมือของอังกฤษ และพวกอิลิทยุโรป จากการที่อังกฤษสามารถเข้าไปตั้งธนาคารกลาง หรือUS Federal Reserveได้ในปี 1913 แม้ว่าจะล้มเหลวในความพยายามที่จะตั้งธนาคารกลางอีแร้ง2ครั้งในศตวรรษที่ 19 เพราะว่าตั้งแล้วก็อยู่ได้ไม่นาน คนอเมริกันไม่เอา เพราะว่าอยู่ดีๆจะให้นายธนาคารมาผูกขาดการพิมพ์ดอลล่าร์ได้อย่างไร กฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐกำหนดชัดเจนว่า มีเพียงสภาคอนเกรซเท่านั้นที่มีอำนาจในการออกเงินตรา
เมื่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐที่เอกชนวอลล์สตรีท และสถาบันการเงินของยุโรปเป็นผู้ถือหุ้นได้ อังกฤษจึงสามารถควบคุมระบบการเงินของสหรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนเงินปอนด์ ผ่านระบบBretton Woods หรือระบบมาตรฐานทองคำโดยให้ดอลล่าร์ผูกกับทองคำ ในเวลานั้น สหรัฐมีทองคำสำรอง26,000ตัน หรือ1ใน 3ของโลก ก่อนหน้าสงครามโลกจะเกิด มีขบวนการลับที่เจ้ากี้เจ้าการขนเอาทองจากยุโรปและประเทศต่างๆทั่วโลกมากองบนหน้าตักของธนาคารกลางสหรัฐ เพื่อที่จะสร้างภาพว่าสหรัฐมั่งคั่งที่สุดในโลก และเงินดอลล่าร์จะเป็นเงินสกุลโลกใหม่ที่มีความมั่นคงมากที่สุด แสดงว่าพันธมิตรยุโรปรู้ว่าจะชนะสงครามโลกก่อนสงครามโลกจะเกิดด้วยซ้ำ จึงมีการเตรียมการให้ดอลล่าร์ขึ้นมาทำหน้าที่เงินสกุลโลกแทนเงินปอนด์
เงินสกุลต่างๆทั่วโลกเมื่อผูกกับดอลล่าร์ที่ผูกกับทองคำอีกต่อหนึ่งในระบบมาตรฐานทองคำของBretton Woodsจึงกลายเป็นเงินบริวารของสหรัฐ เท่ากับว่าเงินสกุลทั่วโลกที่ผูกกับดอลล่าร์จะผูกกับทองคำทางอ้อมในระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบคงที่ เพราะว่าค่าเงินผูกกับทองคำทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวน้อยมาก ในขณะเดียวกันระบบนี้สร้างวินัยการเงินการคลังของแต่ละประเทศไม่ให้เพิ่มปริมาณเงินมากกว่าทองคำสำรองที่ถืออยู่
แต่อย่างที่ได้บรรยายในบทก่อนหน้านั้น สหรัฐมีการใช้จ่ายงบประมาณเกิน ตัวเพื่อรักษาความเป็นจักรวรรดิแทนอังกฤษ ทำให้ต้องพิมพ์ดอลล่าร์ออกมามากเกินกว่าสำรองทองคำ ทำให้เจ้าหนี้ หรือผู้ถือดอลล่าร์ไม่มั่นใจ เอาดอลล่าร์ไปขึ้นทองคำ สหรัฐกลัวทองคำจนหมดตู้เชฟ เพราะมีแต่ธนาคารกลางเอาดอลล่าร์มาแลกคืน จึงมีการให้ประธานาธิบดีนิกสันออกมาประกาศเบี้ยวหนี้ในเดือนสิงหาคม ปี 1971 โดยนิกสันบอกว่าใครถือดอลล่าร์ให้ถือต่อไป แต่จะเอามาแลกทองคำไม่ได้ เพราะว่าขอปิดหน้าต่างโรงรับจำนำแลกทองชั่วคราว คำว่าชั่วคราวดำเนินมาถึงตอนนี้50ปีแล้ว
ในปีเดียวกันนั้น รมว คลังสหรัฐ นายJohn Connally กล่าวในเวทีประชุมกลุ่มG-10ที่กรุงโรมที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดอลล่าร์ของสหรัฐอย่างรุนแรง โดยบอกว่าดอลล่าร์เป็นเงินตราของเรา แต่มันเป็นปัญหาของคุณ (The dollar is our currency, but it is your problem.) หมายความว่าดอลล่าร์เป็นเงินของผม แต่คุณเสือกโง่ไปใช้เอง
แต่เมื่อดอลล่าร์ไม่มีทองคำหนุนหลังจะยืนขาลอยอย่างนี้ได้ไม่นาน สหรัฐจึงมีนโยบายเอาบ่อน้ำมันของซาอุฯมาหนุนดอลล่าร์ ด้วยการให้ซาอุฯและประเทศตะวันออกกลางขายน้ำมันเป็นดอลล่าร์แลกกับการให้การคุ้มครองความมั่นคงและจะขายอาวุธให้ราคาย่อมเยาว์ ทุกประเทศจำต้องใช้น้ำมัน จึงต้องสำรองดอลล่าร์เพื่อซื้อน้ำมันทำให้เกิดดีมานด์เทียมสำหรับดอลล่าร์
เท่านั้นไม่พอสหรัฐสร้างญี่ปุ่น เยอรมัน และประเทศต่างๆให้เข้าสู่ระบบอุตสาหกกรรมเพื่อการส่งออก จะได้ขายของไปยังตลาดสหรัฐ เมื่อขายได้ดอลล่าร์มาก็ให้รีไซเกิ้ลดอลล่าร์นี้กลับไปยังสหรัฐด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทำให้สหรัฐใช้จ่ายงบประมาณเกินตัวได้ในการรักษาจักรวรรดิ ดอลล่าร์รีไซเกิ้ลจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการยืดอายุดอลล่าร์ผ่านการสร้างดีมานด์เทียม และทุกประเทศต้องใช้ดอลล่าร์ในการค้าขายหรือทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ
จีนจึงเป็นเด็กสร้างที่สำคัญที่สุดของสหรัฐในการต่อยอดดอลล่าร์รีไซเกิ้ล แต่ดอลล่าร์รีไซเกิ้ลนี้กำลังจะไปต่อไม่ได้ เพราะว่าสหรัฐมีการสร้างหนี้ หรือพิมพ์เงินเพิ่มยิ่งมากกว่าเดิม โดยไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังทำให้ความเชื่อมั่นในดอลล่าร์ลดลง ยิ่งมีเรื่องกับรัสเซียและจีนทำให้มีการดั้มดอลล่าร์
เพื่อที่จะคุมระบบการโลกต่อไป แทนที่จะใช้สหรัฐเหมือนเดิม อังกฤษและพวกอิลิทยุโรปจึงเลือกใช้IMFแทน โดยIMFจะออกเงินSDRดิจิตัล โดยมีเงินกองทุน$3ล้านล้านบนหน้าตัก นายคาร์เนย์ได้รับมอบหมายให้ออกมาส่งสัญญานเพื่อเตือนว่า เวลาของดอลล่าร์กำลังจะจบลง เพื่อว่าจะได้สร้างเงินสกุลโลกใหม่มาแทนดอลล่าร์ โดยที่อังกฤษและอิลิทโลกยังคงคุมเกมการสร้างเงินสกุลโลกใหม่อยู่ เพราะว่าผู้ใดคุมเงินสกุลหลักของโลก หรือเขียนกฎเกณฑ์ของระบบการเงินโลก ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ครองโลก 7/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/372318267596164
ศูนย์กลางของนิวเวิร์ลออร์เดอร์ที่แท้จริง 7/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/372212627606728
แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ทองคำ https://siam2020111999.wixsite.com/website/forum/khaawsaarenginbuy/enginbuy-th-ngkhamthraphyaephndin-tamnaanhruue-eruue-ngcchring-singthiir-aihkaalewlaaepnphuuphisuucchn
16. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร? ท่ามกลางการระบาดของวิกฤตโควิด-19 สิ่งที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือเงิน (follow the money)
ในขณะที่สายตาของทุกคนกำลังจับตาดูตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัส หรือเสียชีวิตจากรายวัน รวมท้ังพะว้าพะวังกับวัคซีนโควิด หรือแนวทางการป้องกัน และรักษาไวรัส ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) แอบพิมพ์เงินอุตหลุดให้วอลล์สตรีท และอุ้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มปริมาณการใช้จ่ายที่เกินตัวมากยิ่งขึ้น ปีที่แล้วทรัมป์ก่อหน้$3ล้านล้าน ในปีนี้ไบเดนก่อหนี้อีก$3ล้านล้าน กลายเป็นเรื่องนิวนอร์มัลไป
วิกฤติคือโอกาส ถ้าอยากได้โอกาส จะรอให้วิกฤติเกิดขึ้นเอง หรือว่าจะสร้างวิกฤติเองเพื่อเปิดโอกาสเพื่อที่จะทำงานใหญ่
วิกฤติโควิดสร้างโอกาสให้เฟดได้พิมพ์เงินเหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้
ความจริงเฟดได้มีการทำQE หรือพิมพ์เงินเพิ่มอย่างผิดปกติมาตั้งแต่วิกฤติ2008-2009 พร้่อมกับกดดอกเบี้่ยลงสู่ระดับ0% ตามปกติดอกเบี้ยของเฟดต้องอยู่ระหว่าง4%-6% ตามวัฎจักรของเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจดี เงินเฟ้อสูงขึ้นก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยสกัดเพื่อรักษาเสถียรภาพ เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำก็ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเครดิต และเศรษฐกิจ
แต่เราจะไม่ได้เห็นดอกเบี้ยของเฟดกลับไปสู่ระดับปกติอีกต่อไป เพราะว่าเฟดจำเป็นต้องกดดอกเบี้ยที่0%เพื่อดูแลภาระหนี้ของรัฐบาลกลาง และตลาดหุ้น
ทุกครั้งที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว หรือภาคการเงินกลับมามีเถียรภาพในระดับหนึ่ง เฟดจะมีข้ออ้างเสมอเพื่อที่จะไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ย
เฟดกดดอกเบี้ยระดับต่ำติดดินตลอดสมัยของโอบามา พอมาสมัยทรัมป์ขึ้นดอกเบี้ยบ้างพอหอมปากหอมคอ แต่ทำได้ไม่กี่ยกถูกทรัมป์ด่า เลยต้องกดดอกเบี้ยลงมาตามที่ต้องการอยู่แล้ว แต่พอเกิดการระบาดของโควิดในช่วงต้นปี 2020 เฟดถือโอกาสกลับมากดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ0%อีกครั้ง พร้อมกับทำคิวอีมโหฬาร หรือพิมพ์เงินเข้าระบบในอัตรา$120,000ล้านต่อเดือน
ในระยะเวลา2ปีที่ผ่านมา เฟดพิมพ์เงินเพิ่มเท่ากับ100ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้วอลล์สตรีทและตลาดหุ้นมั่งคั่ง แต่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมอเมริกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะว่าคนรวยยิ่งรวบขึ้น ส่วนคนจนมีรายได้คงที่แถมถูกเงินเฟ้อกัดกินกำลังซื้อ
ความจริงก่อนวิกฤติโควิด เฟดอัดสภาพคล่องในตลาดซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล (Repo market)เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้วอลล์สตรีทแบงก์ แบงก์ใช้ตลาดรีโป้เพื่อกู้ยืมคืนกับข้ามคืนระหว่างแบงก์ด้วยกันโดยใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นหลักทรัพย์ค่ำประกัน ตอนนี้ก็กำลังทำเพิ่มหลายแสนล้านเหรียญ
ผลของการพิมพ์เงินเพ่ิมทำให้งบดุลของเฟดปูดขึ้นมาจาก$900,000ล้านก่อนวิกฤติ2008 เป็น$8ล้านล้านกว่าในเวลานี้ เมื่อถึงสิ้นปี2021 งบดุลของเฟดจะพองโตต่อเนื่องเป็น$10ล้านล้าน
คำถามคือแล้วจีน ญี่ปุ่นหรือเจ้าหนี้ของสหรัฐจะคิดอย่างไร ในเมื่อเฟดพิมพ์เงินเพิ่มตลอดเวลาในลักษณะที่เอาไม่อยู่ เพราะว่างบดุลเฟดมีการลีเวอร์เรจไปถึง1:80 คือมีเงินทุน1ส่วนแต่ไปสร้างทรัพย์สิน80ส่วน ถ้าทรัพย์สินขาดทุนไปเพียง1 ส่วนทุนก็จะไม่เหลือ net worthจะกลายเป็นศูนย์ เท่ากับเฟดจะล้มละลายทางบัญชี
โดยสรุปแล้ววิกฤติปี 2008-2009 และวิกฤติโควิด-19เปิดโอกาสให้เฟดพิมพ์เงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้อวลล์สตรีท และใช้ประโยชน์จากดอลล่าร์กระดาษเพื่อให้สมบทบาทความกงเต๊กที่แท้จริง
เมื่อถึงเวลานั้นความน่าเชื่อถือของดอลล่าร์ในฐานะเงินสกุลหลักของโลกจะอยู่ที่ไหน?
รัสเซียและจีนพูดออกมาพร้อมกันว่า: "กูทนไม่ไหวแล้วโว๊ย" รัสเซียออกตัวก่อนด้วยการดั้มทิ้งดอลล่าร์ รัสเซียท้าทายเปโตรดอลล่าร์ด้วยการขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติด้วยเงินสกุลอื่นๆที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ พอร์ตของกองทุนมั่งคั่งของรัสเซีย และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียได้ทำการผ่องถ่ายดอลล่าร์ออกไป โดยถือทรัพย์สินอื่นแทน
ส่วนจีนได้ดั้มดอลล่าร์ผ่านมาลงทุนในโครงสร้างพื้่นฐานในประเทศ ซื้อบ่อน้ำมัน ตอนวัตถุดิบต่างโดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ หรือใช้ดอลล่าร์เพื่อเทคโอเวอร์กิจการต่างๆทั่วโลก แต่ที่สำคัญ จีนจะใช้ดอลล่าร์เพื่อลงทุนในเส้นทางสายไหมผ่านAsian Infrastructure and Investment Bankที่จะทำหน้าที่เหมือนIMFกับธนาคารโลกควบคู่กันไปเลย โดยจะดั้มดอลล่าร์ก่อน แล้วให้เงินหยวนเข้าไปสวมรอยแทนทีหลังเพื่อเพิ่มบทบาทของเงินหยวนในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
วิกฤติต้มยำกุ้งของไทยในปี1997 , วิกฤติ2008-2009ของวอลล์สตรีท และวิกฤติไวรัสโควิด2020 เปิดโอกาสให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)เข้ามาสวมบทบาทเป็นพระเอกม้าขาวเพื่อกอบกู้ระบบการเงินโลก ถ้าไม่มีวิกฤติการเงินระหว่างประเทศ IMFก็จะไม่มีงานทำ คอยแต่นั่งตบยุงอย่างเดียว
แต่พอเกิดวิกฤติการเงินขึ้น โดยไทยเป็นแพะที่ถูกจับบูชายัญไปก่อน ตามมาด้วยวิกฤติ2008-2009ที่วอลล์สตรีทแสร้งทำเป็นพลาดพลั้ง แต่ได้รับการชดเชยเกินคุ้มจากการพิมพ์เงินเข้าไปอุ้มของเฟด และวิกฤติโควิด-19ที่เปิดทางให้ท้ังเฟดปั๊มเงิน และรัฐบาลกลางใช้จ่ายเงินเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ IMFค่อยๆฉายแววในการเป็นพระเอกที่จะเข้ามากอบกู้สถานการณ์ ผ่านการสร้างบทบาทให้ในรูปบัญชีSDR (Special Drawing Rights)ที่อิงตระกร้าเงินอันประกอบด้วยดอลล่าร์ ยูโร เยน ปอนด์ และหยวนกลายเป็นเงินดิจิตัลของโลกในวาระต่อไป (เงินหยวนเพิ่งจะถูกเชิญให้เข้าไปในตระกร้าเงินไอเอ็มเอฟในปี 2016)
SDRดิจิตัลจะทำหน้าที่เป็นเงินสกุลของโลกแทนยูเอสดอลล่าร์ ดอลล่าร์จะไม่หายไปไหน แต่จะเป็นเงินสกุลท้องถิ่นเหมือนเงินบาทบ้านเรา ส่วนในธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ ทั้งแบงก์หรือบริษัทต่างๆจะใช้SDRดิจิตัลในงบดุลของตัวเอง
นี้คือหนึ่งในเป้าหมายที่สูงสุดของนิวเวิร์ลด์ออร์เดอร์ที่รอคอยกันมานานเป็นเวลาหลายร้อยปี เพื่อว่าระบบโลกจะมีเงินสกุลโลกเพียงสกุลเดียว โดยไม่มีเงินสกุลอื่นๆท้าทาย หรือเงินสกุลอื่นๆทำหน้าที่อย่างมากเป็นเพียงเชิงอรรถของเงินสกุลโลก
เมื่อสหรัฐสร้างจีนให้เข้มแข็งทางเศรษฐกิจได้ ก็สามารถทำลายจีนได้ผ่านสงครามเย็น หรือสงครามร้อนเมื่อความเข้มแข็งของจีนมีแนวโน้มว่าจะเอาไม่อยู่
ในทำนองเดียวกันเมื่อขบวนการนิวเวิร์ลออร์เดอร์สร้างดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกได้ก็สามารถทำลายดอลล่าร์ได้เหมือนกันเมื่อดอลล่าร์หมดประโยชน์ หรือได้ทำหน้าที่ทอดสะพานเพื่อให้เงินดิจิตัลของIMFได้แจ้งเกิดอย่างสมบูรณ์แล้ว
ในวิถีของจักรวรรดิ จะคอนโทรลโลกใบนี้ ต้องควบคุมเงิน หรือทุน เมื่อมีทุนถึงจะมีอำนาจ เมื่อมีอำนาจถึงจะใช้อำนาจนั้นเพิ่มทุนหรือรักษาทุนให้มั่นคง
นิวเวิร์ลออร์เดอร์จะใช้IMFทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของธนาคารกลางทั้งหลายในโลกในการควบคุมเงิน และจะใช้ยูเอ็นเป็นรัฐบาลโลกของรัฐบาลทั้งหลายเพื่อควบคุมอำนาจ เมื่อเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าจะเป็นการปิดฉากยุคประชาธิปไตย และลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism)ที่มนูษย์โลกถูกหลอกให้ไขว่คว้า ท้ังๆที่มันเป็นเพียงภาพลวงตาของช่วงเปลี่ยนถ่าย
คำถามคือแล้วรัสเซียและจีนจะยอมเล่นตามเกมนี้หรือไม่ ถ้ายอมจะมีการเจรจาประนีประนอมเพื่อแบ่งอำนาจกันในระเบียบโลกใหม่ แต่ถ้าไม่ยอมจะต้องมีการข่มขู่หรือเอานุ๊กออกมาเผชิญหน้ากัน สงครามเย็นระหว่างสหรัฐฝ่ายหนึ่ง และจีนรัสเซียอีกฝ่ายหนึ่งมีพื้นฐานมาจากความยัดแย้งว่าใครจะดูแลระเบียบการเงิน และการเมืองโลกในวาระต่อไปนั่นเอง
ในบทต่อไปเราจะได้อธิบายถึงSDR ดิจิตัลกับหยวนดิจิตัลแต่แข่งกันอย่างไร เมื่อดอลล่าร์โดนดั๊มไปแล้ว
7/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/372133154281342
15.สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
ดอลล่าร์หมดประโยชน์แล้วในฐานะเงินสกุลหลักของโลกที่จะให้ประเทศต่างๆถือเป็นรีเสร์ฟ หรือเงินทุนสำรอง เพราะว่าสหรัฐใช้ดอลล่าร์ที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลังเป็นอาวุธในการทำลายประเทศอื่นผ่านการแซงชั่น และสหรัฐไม่มีวินัยทางการเงินการคลังสร้างหนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณดอลล่าร์เข้าไปในระบบในปริมาณที่มหาศาล ทำให้คุณค่า หรือความคุ้มในการใช้ดอลล่าร์เป็นรีเสิร์ฟหายไป
อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริง หรือในทางปฏิบัติ ดอลล่าร์จะยังคงเป็นเงินสกุลที่ได้รับการยอมรับ หรือนิยมในการใช้จ่ายมากที่สุดในโลก การทำธุรกรรมการเงินด้วยดอลล่าร์ยังคงมีปริมาณที่มากที่สุดในโลก ตลาดทุนหรือตลาดการเงินของสหรัฐยังคงเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก ทำให้นักลงทุนทั่วโลก รวมท้ังกองทุนต่างๆนิยมที่จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐ
ที่ผ่านมาสหรัฐมีการแซงช่ันรัสเซีย เพราะว่าไปผนวกไครเมียร์ โดยสั่งห้ามไม่ให้กองทุน หรือสถาบันการเงินใดๆเข้าไปเกี่ยวข้องกับการระดมทุนในรูปดอลล่าร์ของธนาคารหรือบริษัทรัสเซีย https://edition.cnn.com/2021/04/15/business/joe-biden-banks-russian-debt/index.html
แถมมีการขู่ว่าจะตัดขาดรัสเซียออกจากระบบSWIFT ซึ่งจะทำให้รัสเซียโอนเงิน หรือทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศไม่ได้ รัสเซียโต้กลับว่าเมื่อใดที่สหรัฐตัดรัสเซียออกจากระบบSWIFT เท่ากับว่าเป็นการประกาศสงครามกับรัสเซีย และรัสเซียคงต้องประกาศสงครามเพื่อตอบโต้ https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2015/01/28/russia-is-hinting-at-a-new-cold-war-over-swift-so-whats-swift/
อิหร่านก็ถูกสหรัฐบอยคอตเหมือนกันไม่ให้อิหร่านขายน้ำมันเป็นดอลล่าร์ เพราะว่าเวลาใช้ดอลล่าร์ในท้ายที่สุดต้องผ่านระบบเคลียริ่งของแบงก์อเมริกัน ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ หรือกระทรวงการคลังสหรัฐควบคุมอยู่ ใครละเมิดจะถือว่าทำผิดกฎหมายสหรัฐ จะถูกสหรัฐแซงชั่นต่ออีกที ทำให้ไม่มีประเทศใดๆใครกล้าตอแย หรือขัดสหรัฐ
https://www.reuters.com/article/us-usa-iran-oil-idUSKCN1VT0H2
จีนก็ถูกสหรัฐขู่ว่าจะเบี้ยวหนี้$1.1ล้านล้านที่จีนเป็นเจ้าหนี้สหรัฐในรูปการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เพราะมีนักการเมือง นักเคลื่อนไหวบางคนในสหรัฐกล่าวหาว่าจีนเป็นต้นตอของไวรัสอู่ฮั่น ทำให้เกิดการระบาดมายังอเมริกา และสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจ ชีวิตและทรัพย์สินของคนอเมริกัน จีนต้องชดใช้ด้วยการยกหนี้$1.1ล้านล้าน
https://www.nbcnews.com/business/economy/should-u-s-refuse-pay-back-its-1-trillion-debt-n1227351
เล่นง่ายๆอย่างนี้เลยนะ
การใช้ดอลล่าร์เป็นอาวุธของสหรัฐทำให้จีนมีความเสี่ยงอย่างมากในการอยู่ในกับดักดอลล่าร์ เพราะว่าวันดีคืนดีอาจจะโดนเบี้ยวหนี้ก็ได้ เช่นเรื่องข้อกล่าวหาการระบาดของไวรัส แล้วจะเบี้ยวหนี้$1.1ล้านล้านและถ้าหากกองทัพเรือสหรัฐแล่นเข้าไปในหมู่เกาะทะเลจีนใต้เพื่อยั่วยุจีน ทำให้เกิดการปะทะกันกับกองทัพเรือจีน และความเสียหายตามมาสหรัฐอาจจะหาเรื่องเบี้ยวหนี้จีนได้ หรือยึดทรัพย์สินจีนที่ลงทุนในสหรัฐ เรื่องนี้ทำให้จีน และรัสเซียต้องหันมาพัฒนาระบบข้อมูลแบงก์ที่คล้ายกับการทำงานของSWIFTของตัวเอง เพื่อรองรับความเสี่ยงในกรณีที่ถูกแซงชั่น
การที่สหรัฐใช้ดอลล่าร์เป็นอาวุธแซงชั่น สร้างดีมานด์เทียมให้ดอลล่าร์ เพิ่มปริมาณดอลล่าร์ในระบบทำให้เกิดเงินเฟ้อ เพราะว่าต้องก่อหนี้เพื่อรักษาระบบจักรวรรดิที่มีคอสท์สูง ใช้ดอลล่าร์ในการก่อสงครามการเงินทำให้คุณค่า หรือประโยชน์ใช้สอยของดอลล่าร์ในฐานะเงินสกุลหลักของโลกค่อยๆเสื่อมลงไป
จีนและประเทศต่างๆที่เน้นการส่งออกรวมท้ังประเทศไทยที่ติดกับดักดอลล่าร์จะต้องคอยทำให้ค่าเงินของตัวเองอ่อนเข้าไว้จะได้ขายของได้ดอลล่าร์เป็นรายได้เข้ามา ในขณะที่ดอลล่าร์เสื่อมค่าลงไปจากการพิมพ์เงินเพิ่มปริมาณ ทำให้ภายในประเทศที่เน้นการกอบโกยดอลล่าร์ต้องเผชิญกับเงินเฟ้อ อำนาจซื้อของประชาชนลดลง อันเห็นได้จากคนไทยต้องบริโภคข้าวของแพงขึ้นทุกปีๆ จะซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ จ่ายค่าเทอม ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าอาหารแพงขึ้นจนคนจนอยู่ไม่ได้
จีนไม่ต้องการอยู่ในกับดักดอลล่าร์รีเสิร์ฟนี้ จึงหาทางดัมพ์ดอลล่าร์ที่ถือในรูปของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันจะเป็นหนี้ก็ตาม การดัมพ์ดอลล่าร์คือการแปลงทรัพย์สินดอลล่าร์เป็นทรัพย์สินในรูปแบบอื่น ซึ่งจีนก็ทำมาแล้วคือการซื้อทองคำ ซื้อบ่อน้ำมัน หรือลงทุนในสัมปทานในประเทศต่างๆเพื่อขยายการลงทุนในจีนในต่างประเทศ
แต่ดอลล่าร์รีเสริฟส่วนมากของจีนจะดัมพ์ลงไปในโครงการเส้นทางสายไหม (One Belt One Road) ผ่านธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย หรือAsian Infrastructure Investment Bank (AIIB) สี จิ้นผิงเป็นผู้ที่มองกาลไกล และเป็นผู้ริเริ่มในปี2013ที่จะรื้อฟื้นเส้นทางสายไหมโบราณให้เป็นโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับ70ประเทศและองค์กรครอบคุมทวีปเอเชีย ยุโรปและแอฟริการ จีนจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในAIIB ซึ่งจีนจะใช้เป็นช่องทางในการดัมพ์ดอลล่าร์ หรือการแปลงทรัพย์สินดอลล่าร์ที่เป็นหนี้ของรัฐบาลสหรัฐให้เป็นทรัพย์สินที่อยู่ในรูปของโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นถนน ระบบราง โรงงานผลิตไฟฟ้า โครงการโทรคมนาคม ระบบน้ำ สนามบิน ท่าเรือ
ทรัพย์สินที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ที่มาจากการแปลงทรัพย์สินดอลล่าร์ นับวันมีแต่จะมีมูลค่าเพ่ิมสูงขึ้น เพราะว่าเป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้ และมีประโยชน์ในการใช้งาน โดยจีนและแชร์กับประเทศ หรือองค์กรที่เข้าร่วมโครงการในลักษณะวิน-วินด้วยกันทุกฝ่าย โครงสร้างพื้นฐานของโครงการOne Belt One Roadจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนประมาณ$3ล้านล้านในระยะข้างหน้า เม็ดเงินลงทุนนี้จะมาจากจีนเป็นหลัก ด้วยการในการให้เปล่าบ้าง ให้เป็นเครดิตบ้าง ให้กู้บ้าง แล้วแต่สถานการณ์ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานได้รับการพัฒนาแล้ว ความเจริญจะตามมาทำให้ประเทศที่เคยอยู่ในภาวะสงครามหรือความลำบากมานาน ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง เอเชียกลาง เอเชียใต้ แอฟริกาจะได้ประโยชน์ จีนจะได้ประโยชน์ทีหลังหลังฝ่านการค้าขายที่เพิ่มขึ้น ผ่านการลงทุนของบริษัทจีน แรงงานจีนสามารถไปทำงานที่ต่างประเทศในโครงการสายไหมใหม่ อิทธิพลของจีนท้ังการเมือง เศรษฐกิจและการเงินในโลกจะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย ทำให้จีนกลายเป็นศูนย์กลางของโลกในศตวรรษที่ 21
จึงไม่น่าแปลกใจที่สหรัฐเต้นเป็นงิ้ว หลังจากที่จีนเปิดตัวOne Belt One Road เพราะว่าAIIBจะเป็นคู่แข่งกับIMF กับธนาคารโลก ที่เป็นสถาบันหลักที่ค้ำจุนดอลล่าร์ในระบบการเงินโลกในระดับแมคโคร เพราะว่าAIIBจะเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการโปรโหมทการใช้หยวนแทนดอลล่าร์ในการลงทุนระหว่างประเทศ หรือการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ หยวนจะค่อยๆมาแทนบทบาทของดอลล่าร์ในระบบการเงินโลกใหม่ผ่านAIIBอีกทาง
สหรัฐอ้างว่าโครงการเส้นทางสายไหมใหม่นี้จะทำให้ประเทศยากจนติดหนี้จีน หรือโครงการนี้จะไม่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม ญี่ปุ่่นก็ช็อคเหมือนกัน เพราะว่าOne Belt One Roadจะทำให้จีนเป็นมหาอำนาจในเอเชีย ไม่ใช่ญี่ปุ่น แม้ว่าที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะคอยรับคำสั่งของสหรัฐมาตลอดก็ตาม อินเดียก็ไม่สบอารมกับOne Belt One Road เพราะว่าจีนไปให้เงินสนับสนุนปากีสถานที่อินเดียมองว่าเป็นศัตรูคู่กัด แย่งดินแดนแคชเมียร์กันอยู่
ล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โจ ไบเดนทนไม่ไหวต้องประกาศโครงการฺBuild Back Better World ที่เวทีประชุมของกลุ่มG-7 ที่อังกฤษ โดยจะเป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เลียนแบบOne Belt One Road และจะให้เอกชนเข้าร่วมเป็นหลัก แต่รายละเอียดไม่มี จะทำให้เป็นรูปร่างอย่างไรก็ไม่มีความชัดเจน
ถึงตอนนี้ภาพคงจะชัดเจนมายิ่งขึ้่นแล้วว่า จีนกำลังตัดหางปล่อยวัดสหรัฐ ในขณะที่สหรัฐพยายามตัดแข้งตัดขาจีน หรือเกาะจีนด้วยซ้ำ เพราะว่าในเพลานี้ที่ไม่เหมือนในอดีต สหรัฐต้องการจีนมากกว่าจีนต้องการสหรัฐ 6/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/371404977687493
14. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
จีนติดกับดักยูเอสดอลล่าร์ ดิ้นไม่ออกเหมือนกับญี่ปุ่นและประเทศที่เน้นการส่งออกท้ังหลายรวมท้ังประเทศไทย
ตลอดระยะเวลา40กว่าปีที่ผ่านมาจีนเอาหยาดเหงื่อเพื่อแลกกับรายได้จากการส่งออกในรูปดอลล่าร์ และรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปยังสหรัฐผ่านการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐสามารถใช้จ่ายเกินตัวเพื่อรักษาระบบจักรวรรดินิยม ทำให้จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ$1.7ล้านล้านในช่วงหนึ่ง และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกถึง$4ล้านล้าน
การถือทรัพย์สินดอลล่าร์ในระดับสูงส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะกดอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนให้อ่อนค่าเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของจีน รวมท้ังแรงงานจีน เพื่อต่อยอดในการพัฒนาอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทำให้เงินหยวนมีความน่าเชื่อถือ เพราะว่านักลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนตั้งโรงงาน และเอาเทคโนโลยีมาถ่ายทอดให้จีนมีความมั่นใจว่าจีนมีสำรองดอลล่าร์เพียงพอเวลาจะโยกเงินกลับประเทศ
จีนติดกับดักดอลล่าร์ เพราะว่าต้องกดค่าหยวนเพื่อที่จะได้ขายของในราคาถูก และพัฒนาอุตสาหกรรม และต้องช่วยหนุนดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อกินดอกเบี้ย ในขณะที่ภายในประเทศแรงงานจีน หรือเศรษฐกิจจีนต้องรับเคราะห์ในเรื่องของเงินเฟ้อที่ค่อยๆกลัดกร่อนอำนาจซื้อ แต่ก็ต้องยอมติดกับดักนี้ไปก่อน เพราะว่าจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมาก ประชากรของจีนมากกว่าประชากรของทวีิปอเมริกาใต้ ยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลียรวมกันเสียอีก เมื่อมีประชากรมากที่ต้องเลี้ยงดู ต้องหางานให้ทำ ในระยะแรก จีนต้องกอบโกยดอลล่าร์เข้าประเทศให้ได้มากๆก่อน และดันจีดีพีให้สูงทะลุฟ้า เพื่อที่จะแก้ปัญหาความยากจน และไล่ประเทศอื่นให้ทันในแง่ของมาตรฐานการดำรงชีพของคนจีน หรือรายได้ต่อหัว
ถ้าหากว่าจีนจะทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ไม่รีไซเกิ้ล จะทำให้ขาดทุนจากการถือพันธบัตร และจะทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์กับสหรัฐที่ดำเนินมาอย่างค่อนข้างราบเรียบในระยะเวลา30ปีแรกหลังการเปิดประเทศต้อนรัฐเงินทุนต่างชาติในปี 1979 เพราะว่าสหรัฐพึ่งพาจีนในการหนุนดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ เพื่อให้ดอลล่าร์มีเสถียรภาพ จีนรู้ดีว่าสหรัฐก่อหนี้โดยไม่มีความตั้งใจที่จะใช้หนี้ เพราะว่าจะออกพันธบัตรใหม่ไปชำระหนี้เก่าไปเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้จ่ายที่เกินตัวในการรักษาระบบสวัสดิการสังคม และระบบจักรวรรดิที่ต้องมีการก่อหนี้มหาศาล
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงทุกอย่าง หรือเกมทุกเกมก็ต้องมีวันสิ้นสุด เมื่อวันเวลา หรือสถานการณ์เปลี่ยนไป จีนไม่ต้องการติดกับดักดอลล่าร์ดีมานด์เทียมตลอดไป แต่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการถือพันธบัตรสหรัฐไปถือทรัพย์สินอย่างอื่นแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ เพราะว่าอยู่ดีๆใครจะไปพิมพ์ทองคำเพิ่มเหมือนพิมพ์เงินกระดาษไม่ได้ การเพ่ิมหนี้ หรือการเพิ่มปริมาณเงินดอลล่าร์ของสหรัฐจะทำให้ดอลล่าร์มีค่าเสื่อมลงจากเงินเฟ้อ
ไปๆมาๆดอลล่าร์ที่จีนแบกรับถืออยู่มีแต่จะขาดทุน เพราะว่าดอกเบี้ยให้ผลตอบแทนต่ำมาก และถูกเงินเฟ้อกินไปหมด
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังเดือนมิถุนายนปี 2011 ซึ่งในตอนนั้นจีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมากที่สุดในโลกถึง$1.7ล้านล้าน หรือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ญี่ปุ่นถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐน้อยกว่าจีนเล็กน้อย แต่ญี่ปุ่นแตกต่างจากจีนตรงที่ไม่ต้องการออกจากกับดักดอลล่าร์ เพราะว่านโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของญี่ปุ่นถูกสหรัฐคอนโทรลอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2เรื่อยมา
หลังจากปี 2011 จะเห็นได้ว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของจีนเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าจีนเอาดอลล่าร์ไปซื้อทรัพย์สินอย่างอื่นแทน วิกฤติวอลล์สตรีท 2008ทำให้จีนรู้ว่าไม่สามารถจะพึ่งพาสหรัฐ รวมท้ังการส่งออกได้อีกต่อไป ที่สำคัญจะอยู่กับดักดอลล่าร์อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้ ผลประโยชน์ของชาติจะเสียหาย แต่การขายพันธบัตรสหรัฐต้องทำอย่างไม่กระโตกกระตาก มิเช่นนั้นจะทำลายเสถียรภาพของระบบการเงินโลก และจีนจะเสียประโยชน์ หรือขาดทุนหนักไปด้วย
มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐกับจีนมีข้อตกลงลับระหว่างกัน โดยสหรัฐรู้ตัวว่าตัวเองทำQEเพิ่มปริมาณเงินเพื่ออุ้มระบบการเงิน ก่อหนี้ที่ไม่มีเพดานทำให้ผู้ถือดอลล่าร์ไม่สบายใจ จึงจะผ่องถ่ายทองคำไปให้จีนเพื่อให้จีนสบายใจในระดับหนึ่ง โดยสหรัฐจะหาแหล่งทองคำจากที่ต่างๆเพื่อแลกกับดอลล่าร์ที่จีนได้มาจากการส่งออก แต่จีนต้องยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อเนื่องแบบเนียนๆต่อไป แม้ว่าปริมาณจะลดลงไป เพื่อให้เกมเก้าอี้ดนตรีของดอลล่าร์ดีมานด์เทียมสามารถยื้อต่อไปได้
จีนแอบซื้อทองคำมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาทำให้นักวิเคราะห์ทองคำค่ายตะวันตกเชื่อว่าจีนน่าที่จะมีทองคำสำรองอยู่20,000ตัน แต่ความจริงแล้วน่าที่จะมีมากกว่านั้น หรืออาจจะมี30,000ตันก็ได้ เพราะว่าจีนก็ผลิตทองคำได้เอง แต่ไม่ส่งออกทองคำ และอาจจะตะลุยซื้อทองคำเพิ่มเติมโดยไม่บอกใคร
ณ เดือนมีนาคมปี 2021 จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$3.19ล้านล้าน โดยในอดีตเคยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า$4ล้านล้าน ตัวเลขสิ้นสุดเดือนพฤษาคมที่ผ่านมา จีนมีการและถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ $1.078 เทียบกับ$1.7ล้านล้านในปี 2011 เท่ากับว่าช่วงระยะเวลา10ปีที่ผ่านมาจีนลดการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงไป$700,000ล้าน แม้ว่าการค้าระหว่างประเทศของทั้งคู่จะเพิ่มขึ้น หรือจีนมีรายได้ดอลล่าร์เพิ่มขึ้นก็ตาม
แสดงว่าจีนไม่ต้องการอยู่ในกับดักดอลล่าร์ที่มีการสร้างดีมานด์เทียมอีกต่อไป พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไม่เน้นการส่งออก ไม่พึ่งพาสหรัฐ โดยนโยบายนี้เด่นชัดขึ้นเมื่อสี จิ้นผิงก้าวขึ้นมามีอำนาจในปี 2012 เพราะว่าการกดหยวนให้อ่อนค่าเกินจริงตลอดระยะเวลาที่ยาวนานที่ผ่านมาเพื่อหนุนภาคการส่งออก และอุ้มดอลล่าร์ไปในตัวทำให้ภาคส่งออกรวย ซึ่งส่วนมากก็เป็นบริษัทต่างชาติที่ใช้จีนเป็นฐานส่งออก และช่วยดันจีดีพีให้สูง และเพิ่มการจ้างงาน แต่คนจีนส่วนใหญ่เสียประโยชน์ เพราะว่าหยวนที่อ่อนค่าทำแรงงานจีนมีราคาถูก และทำให้เกิดเงินเฟ้อที่กัดกร่อนอำนาจซื้อของคนจีน
ประธานาธิบดีสีสานต่อแนวนโยบายที่จะออกจากกับดักดอลล่าร์ โดยปรับเปลี่ยนนโยบายการส่งออกให้หันมาเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจภายในควบคู่กันไป ให้มีการเพ่ิมค่าแรงทำให้ค่าแรงของจีนเพิ่ม4เท่าเมื่อเทียบกับยุค1990sในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันค่าแรงคนงานอเมริกันไม่ได้เพิ่มเลยเมื่อหักเงินเฟ้อ การเพิ่มอำนาจซื้อของคนจีนทำให้เกิดชนชั้นกลาง กำจัดปัญหาคนยากจน โดยคนจีน800ล้านคนถูกยกระดับออกจากความยากจน สร้างซับไพลหรือนวัตกรรมใหม่ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเอง แทนการพึ่งพาสหรัฐที่ต้องจำใจทนอยู่ในกับดักดอลล่าร์เหมือนอย่างในอดีต
นโยบายดัมพ์ดอลล่าร์จึงเป็นนโยบายปลดแอกที่สำคัญของจีนในการไม่พึ่งพาสหรัฐต่อไป พร้อมกับปรับตระกร้าเงินของการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนโดยเพิ่มเงินสกุลอื่นๆและลดอิทธิลของดอลล่าร์ แล้วจีนจะดัมพ์ดอลล่าร์ไปลงที่ไหน ถ้าไม่ใช่โครงการเส้นทางสายไหมที่จะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน$3ล้านล้านในระยะข้างหน้าเพื่อเชื่อมโยงเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกัน โดยโครงการเส้นทางสายไหมนี้จะตัดหางปล่อยวัดสหรัฐที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจของโลกทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 โดยที่ไม่มีสหรัฐอเมริกาจีนก็อยู่ได้ แถมจะรุ่งเรืองกว่าเสียอีก เรื่องราวนี้จะมีการอธิบายในบทต่อไป 6/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/371336531027671
13. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
การที่จีนจะตีจากสหรัฐโดดๆ หรือจะปลดแอกยูเอสดอลล่าร์ไม่ได้ ต้องหาพวกเพื่อสร้างพลังหรืออำนาจการต่อรองกับกลุ่มแองโกลอเมริกัน และกลุ่มG7 (สหรัฐ แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น) ซึ่งดูแลระเบียบโลกในปัจจุบัน
มีการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแต่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่มีประชากรมาก และเป็นเสาหลักของภูมิภาคของตัวเอง คือบราซิล (ลาตินอเมริกา) รัสเซีย (ยุโรป+เอเชียกลาง) อินเดีย (เอเชียใต้) และจีน (เอเชียเหนือและตะวันออกเฉียงใต้) ต่อมาแอฟริกาใต้เข้ามาร่วมในปี 2010จึงเรียกกลุ่มนี้ว่าBRICS ซึ่งเป็นชื่อย่อนำหน้าของประเทศสมาชิก
โลกจึงแบ่งขั้วออกมาชัดเจนหรือG-7 vs BRICS ซึ่งเป็นตัวแทนของประเทศที่พัฒนาแล้ว (developed nations) และประเทศที่กำลังพัฒนา(developing nations)ตามลำดับ แม้ว่าสมัยบุชผู้ลูกพยายามจะกวาดต้อนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจเข้ามาอยู่ภายใต้ร่มเงาของแองโกลอเมริกันผ่านกรอบความร่วมมือของกลุ่มG-20 ซึ่งมีสมาชิกเป็นทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา
แต่ความร่วมมือของBRICSในการสร้างสถาปัตยกรรมของระบบเศรษฐกิจโลกและระบบการเงินโลกใหม่ไปไม่ค่อยจะรอด เพราะว่าไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอ รัฐบาลบราซิลจะทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่ถามไถ่สหรัฐก่อน มิเช่นนั้นผู้นำรัฐบาลหรือรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ แอฟริกาใต้ไม่ได้มีความแข็งแกร่งอันเห็นได้จากการจลาจลภายในประเทศที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้จากปัญหาการเมืองภายในที่ถูกภายนอกแทรกแซง อินเดียยังไม่รู้จะเอาอะไรแน่ เพราะใจหนึ่งไม่อยากปลดแอก ยังคงอยากอยู่ใต้เครือจักรภาพอังกฤษเหมือนเดิม เหลือเพียงจีนกับรัสเซียเท่านั้นที่ต้องการที่จะสร้างขั้วมหาอำนาจใหม่จริงๆที่เป็นที่ยอมรับในบรรดาสากลประเทศทั้งหลาย และไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบของระเบียบโลกเดิมของแองโกลอเมริกันที่มียูเอสดอลล่าร์ค้ำคออยู่
ยิ่งตอนนี้กลุ่มBRICSกำลังอยู่ในสภาพที่ร่อแร่ โดนสงครามใต้ดินกลัดกร่อน คงจะไม่เป็นเรื่องบังเอิญที่ จีนเจอไวรัสอู่ฮั่น บราซิลเจอไวรัสสายบราซิล แอฟริกาใต้มีสายพันธุ์ไวรัสเซาร์แอฟริกา ส่วนอินเดียเจอไวรัสเดลต้าหนักที่สุด มีเพียงรัสเซียยังไม่เจอสายพันธุ์ไวรัสที่กลายพันธุ์
ด้วยเหตุนี้ สี จิ้นผิงกับวราดิเมียร์ ปูตินจึงตกลงกันเองว่า ต้องร่วมมือกันมากยิ่งขึ้นในการปลดแอกยูเอสดอลล่าร์ผ่านนโยบายดัมพ์ทิ้งดอลล่าร์ (de-dollarisation) เพราะว่าจีนกับรัสเซียเป็นเป้าหลักของสงครามเย็นที่ก่อโดยกลุ่มแองโกลอเมริกัน ครั้นจะหวังพึ่งพาบราซิล แอฟริกาใต้หรืออินเดียก็คงไม่ได้อะไรมาก เพราะไม่แน่ใจว่าเพื่อนBRICSจะมีอำนาจอธิปไตยจริงในการดำเนินนโยบายบริหารประเทศด้านความมั่นคง หรือนโยบายต่างประเทศ
จีนกับรัสเซียตกลงที่จะค้าขายกัน โดยไม่ใช้เงินดอลล่าร์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (de-dollarisation) โดยจะค่อยๆดัมพ์ทิ้งดอลล่าร์ไปเรื่อยๆ
รัสเซียมีความเร่งด่วนมากกว่าจีนในการปลดแอกดอลล่าร์ เพราะว่ารัสเซียตกเป็นเป้าของการแซงชั่นของสหรัฐทั้งทางเศรษฐกิจและการเงิน หลังจากที่ไปผนวกเอาไครเมียร์ ทำให้ธุรกิจและธนาคารของรัสเซียมีข้อจำกัดในการเข้าถึงดอลล่าร์สหรัฐที่เป็นเสาหลักของเปโตรดอลล่าร์ รัสเซียขายน้ำมัน หรือก๊าซเป็นรายได้หลักของประเทศ บริษัทพลังงานหรือธนาคารรัสเซียต้องใช้ดอลล่าร์ในการทำธุรกรรมด้านน้ำมัน เมื่อใช้ดอลล่าร์แซงชั่นรัสเซียก็เท่ากับว่าตัดแขนตัดขารัสเซีย
ปูตินจึงออกมาขู่กลับในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า แล้วสหรัฐจะเสียใจที่ใช้ดอลล่าร์เป็นอาวุธในการแซงชั่นรัสเซีย เพราะว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องใช้ดอลล่าร์ก็ได้
กองทุนมั่งคั่งของรัสเซียที่สะสมจากรายได้น้ำมันเพื่อเอาไว้ใช้ยามขัดสน รีบสนองนโยบายปูตินด้วยการออกมาประกาศต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า จะดัมพ์ทิ้งดอลล่าร์จากพอร์ตที่มีมูลค่า$186,000ล้าน โดยจะทิ้งดอลล่าร์เพื่อไปถือยูโร หยวน และทองคำแทน และจะใช้เวลา1เดือนในการทิ้งดอลล่าร์ทำให้พอร์ตของกองทุนมั่งคั่งรัสเซียจะมีทรัพย์สินยูโร40% หยวน30%และทองคำ 20% ส่วนทรัพย์สินในรูปเยน และปอนด์อังกฤษจะอยู่ที่5%เท่าๆกัน https://www.cnbc.com/2021/06/03/russia-to-remove-dollar-assets-from-national-wealth-fund.html รัสเซียลดการพึ่งพาดอลล่าร์ตลอดในการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย ส่วนแบ่งของการใช้ดอลล่าร์ของรัสเซียในการส่งออกพลังงานอยู่ที่สัดส่วน80%ก่อนที่จะผนวกไครเมียร์ในปี 2013 แต่สัดส่วนนี้ลดลงเหลือ48.6%ในปี 2020ทีผ่่านมา นอกจากนี้ส่วนแบ่งของการใช้รูเบิ้ลในการทำการค้า หรือข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศที่เป็นสมาชิก Eurasian Economic Union ที่เคยอยู่ภายใต้จักรวรรดิโซเวียตมาก่อนได้เพิ่มจาก54%ในปี 2013 เป็น70%ในปี 2019
ส่วนการส่งออกในรูปเงินรูเบิ้ลของรัสเซียนอกกลุ่มCommonwealth of Independent States (CIS) เพิ่มจาก5.5% เป็น8.7%ในระยะเวลาเดียวกัน
ที่สำคัญ รัสเซียได้ลดการค้าขายกับจีนในรูปของดอลล่าร์ลงจาก90%ในปี 2013เป็น 60%ในปี2020ที่ผ่านมา https://www.aa.com.tr/en/world/russia-accelerates-de-dollarization-move/2266461
The Global Timesของจีนรายงานว่า บทบาทของเงินหยวนในการค้ากับรัสเซียเพิ่มจาก3.1%ในปี2014เป็น17.5%ในปี 2020 ที่สำคัญเงินหยวนมีสัดส่วน30.4%ในพอร์ตของกองทุนมั่งคั่งของรัสเซีย Russia's National Wealth Fund's และ12.8%ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซีย https://www.globaltimes.cn/page/202107/1230093.shtml ดอลล่าร์จะเจอแรงกดดันของการขายเรื่อยๆหลังจากที่จีนและรัสเซียมีความพยายามที่จะปลดแอกดอลล่าร์ จีนมีขนาดเศรษฐกิจ$16.4ล้านล้านในขณะที่รัสเซียมีขนาดเศรษฐกิจ$1.7 ล้านล้าน รวมกันแล้วตามหลังขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐ$21ล้านล้านไม่มากนัก ดอลล่าร์มีปัญหาในตัวเองอยู่แล้ว จากการที่เป็นเงินกงเต๊กที่ไม่มีทรัพย์สินหนุนหลัง อยู่ได้จากดีมานด์เทียม รัฐบาลสหรัฐมีการก่อหนี้มหาศาล มีการกดดอกเบี้ยลง0%เป็นเวลานาน ทำให้ความมั่นใจของผู้ถือครองดอลล่าร์มีความสั่นคลอนมากยิ่งขึ้น
ยิ่งถูกจีนกับรัสเซียร่วมมือกับทิ้งดอลล่าร์ทำให้อนาคตของดอลล่าร์ไม่แน่นอน เปิดโอกาสให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศซุ่งกลุ่มแองโกลอเมริกันบงการอยู่ เข้ามาสวมบทบาทเป็นพระเอกม้าขาวในการสร้างเงินSpecial Drawing Rightsให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนดอลล่าร์ เพื่อสกัดเงินหยวนของจีน
ประเด็นSDRจะเป็นเรื่องราวที่ต้องได้รับการอธิบายในบทต่อๆไป 5/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/370755534419104
12. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
สหรัฐและจีนต่างก็รู้ดีในใจด้วยกันว่า โครงสร้างความสัมพันธ์หรือผลประโยชน์ร่วมที่สร้างกันมาไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ในรูปแบบเดิมที่ร่วมสร้างกันมาตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิงเปิดประเทศจีนในปี 1979
สหรัฐสร้างจีนให้ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจเพื่อแลกกับการที่จีนต้องแบกภาระการอุ้มดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ ควบคู่กับเปโตรดอลล่าร์ ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐเพื่อให้ผู้บริโภคสหรัฐสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ของถูกๆมาใช้ รัฐบาลสหรัฐสามารถก่อหนี้เหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ผ่านการดำเนินนโยบายขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ต้องมีการเพิ่มปริมาณดอลล่าร์เข้าไปในระบบเรื่อยๆ เมื่อมีดอลล่าร์เพิ่มขึ้นในขณะที่ข้าวของในระบบมีเท่าเดิมเท่ากับว่าสินค้าต่างๆจะมีราคาแพงขึ้นเนื่องจากดอลล่าร์จะมีค่าที่อ่อนลง
จีนและประเทศผู้ถือครองดอลล่าร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจึงอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะว่ายิ่งถือดอลล่าร์ที่ถูกสร้างให้มีดีมานด์เทียมนานยิ่งจะเสียเปรียบหรือจนลง เพราะว่าสหรัฐเล่นก่อหนี้ไม่เลิก พิมพ์เงินเพิ่มไม่อั้น แต่ในขณะเดียวกันสหรัฐยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และดอลล่าร์เป็นเงินสกุลที่ใช้ง่าย ไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกก็รับดอลล่าร์ท้ังนั้น
แต่ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของจีน รวมท้ังขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น ระบบอุตสาหกรรมการผลิตที่เข้มแข็ง เทคโนโลยีที่ไม่เป็นรองใคร แสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร ทำให้สหรัฐก็รู้ตัวดีว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งจีนจะไม่พึ่งพาสหรัฐอีกต่อไป หรือจะไม่ทนแบกดีมานด์ดอลล่าร์ เมื่อจีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จีนอาจจะไม่ขายของเป็นดอลล่าร์ อาจจะรับเฉพาะหยวนก็ได้เหมือนกับสหรัฐในเวลานี้ที่ขายของหรือทำธุรกรรมต่างๆเป็นเงินดอลล่าร์อย่างเดียว เพราะว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก
สงครามเย็นที่สหรัฐกำลังก่อกับจีนในทุกรูปแบบเวลานี้มีสาเหตุมาจากการที่สหรัฐมีแนวโน้มที่จะสูญเสียสิทธิพิเศษในการใช้จ่ายเกินตัวของของดอลล่าร์ในอนาคต
เมื่อ10กว่าปีที่แล้ว จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประมาณ$1.7ล้านล้านจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด$4ล้านล้าน การมีเงินทุนสำรองมากในรูปดอลล่าร์ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเงินหยวน เพราะว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ จีนยังไม่มีเครดิตมากในระบบการเงินโลก การควบคุมเงินหยวนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ จีนช่วยอุ้มดอลล่าร์ทำให้เงินหยวนอ่อนค่า ซึ่งทำให้ค่าแรงงานของจีนถูก สินค้ามีราคาถูก ทำให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ บริษัทผู้ส่งออกได้ประโยชน์ แต่ประชาชนคนจีนโดยทั่วไปแบกภาระจากเงินเฟ้อที่มาจากหยวนที่ถูกกดให้อ่อนค่าเพื่อสนับสนุนการส่งออก เพื่อแลกกับการโกยเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ
ประเทศไทย หรือประเทศผู้ส่งออกทั้งหลายก็ดำเนินนโยบายแบบนี้ในการกดค่าเงินให้อ่อนค่าเพื่อเอื้อการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการเพิ่มจีดีพี แต่ว่าบาทที่อ่อนค่าไม่ได้เอื้อประชาชนโดยรวม เพราะว่าต้องเจอกับเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น สำหรับผู้ที่มีรายได้สูงอาจจะไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ผู้ที่มีรายได้ต่ำหรือรายได้ปานกลางจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ด้อยลง เนื่องจากอำนาจซื้อลดลงจากเงินเฟ้อนั้นเอง
จีนจึงมีการปรับนโยบายไม่อุ้มดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ หรือไม่เน้นการส่งออกอีกต่อไป วิกฤติการเงินของวอลล์สตรีทในปี 2008-2009 ซึ่งทำการส่งออกพัง เศรษฐกิจทั่วโลกประสบกับหายนะ ให้จีนต้องปั๊มเงินเกือบ$500,000ล้านในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้บทเรียนที่ดีสำหรับจีนว่าไม่สามารถจะพึ่งพาการส่งออก หรือสหรัฐเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
เมื่อสี จิ้นผิงขึ้นมามีอำนาจในปี 2012 จีนเริ่มดำเนินนโยบายการเอาใจออกห่างจากสหรัฐอย่างจริงจัง แต่ทำอย่างเนียนๆไม่กระโตกกระตาก โดยจีนจะไม่เน้นการส่งออกอีกต่อไป แต่จะหันกับมาให้ความสำคัญกับการกินดีอยู่ดีของคนจีนที่เสียสละมากพอแล้วในการขายแรงงานถูกๆในตอนต้นเพื่อแลกกับการส่งออกและการดันจีดีพีให้โต แต่ในขณะเดียวกันค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าทำให้คนจีนต้องแบกรับเรื่องเงินเฟ้อ ได้เวลาที่จีนจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายของประชาชน เพิ่มชนชั้นกลางผ่านการสร้างเมืองใหม่ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้ครบบริบูรณ์ เน้นการศึกษาการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสร้างซับไพลใหม่ๆผ่านนวัตกรรม สร้างระบบชำระเงินแบบออนไลน์เพื่อให้คนจีนเข้าถึงแหล่งเงินได้ทั่วถึงเพิ่มขึ้น และเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศอันเห็นได้จากการที่อาลีบาบารับรับอนุญาตให้ไปจดทะเบียนขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ค
ที่สำคัญจีนค่อยๆลดถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของจีนลดลงเพราะว่าไม่ต้องการแบกดอลล่าร์กงเต๊กอีกต่อไป จนในปัจจุบันการถือครองเหลือ$1.1ล้านล้าน โดยจีนขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐออกไปแล้ว$600,000ล้านจากช่วงพีค
หลังเกิดวิกฤติ2008-2009 สหรัฐไม่ได้แก้ปัญหาโครงสร้าง แต่ใช้นโยบายการเงิน การพิมพ์เงิน หรือการใช้จ่ายกลบปัญหา การเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบผ่านการทำQEของธนาคารกลางของสหรัฐที่งบดุลปูดขึ้นมาจาก$900,000กว่าล้านก่อนวิกฤติ2008 เป็น$7ล้านล้านกว่าในปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะไปต่อถึง$10ล้านล้านก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อที่จะอุ้มภาคการธนาคาร ตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ออกมาอุตหลุดเพื่อที่จะสร้างหนี้ หรือชดใช้หนี้เก่า รวมท้ังนอกจากนี้ ธนาคารกลางของสหรัฐมีการการกดดอกเบี้ยลงเหลือ0% ทำให้ผู้ที่ถือครองดอลล่าร์มีความเสี่ยงที่ดอลล่าร์จะอ่อนค่าลง และผลตอบแทนพันธบัตรที่ถือแทบที่จะไม่ได้อะไร เพราะว่าดอกเบี้ยต่ำ แถมติดลบเมื่อหักเงินเฟ้อที่สูงกว่ายิลด์ของพันธบัตร
จีนตระหนักดีว่า ดอลล่าร์รีเสิร์ฟไม่มีประโยชน์ต่อจีนอีกต่อไป ที่ผ่านมาจีนเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเล่นตามเกมกอบโกยดอลล่าร์ผ่านการส่งออกเพื่อสร้างจีดีพี สร้างงานสำหรับแรงงานจีน พร้อมกับยอมแบกรับดีมานด์เทียมของดอลล่าร์เพื่อหนุนความเชื่อมั่นในเงินหยวนที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในสากล แม้ว่าจีนจะควบคุมไม่ให้หยวนมีการเคลื่อนไหวที่เสรีก็ตาม เนื่องจากจีนไม่ได้ควบคุมระบบการเงินโลก หรือระบบชำระเงินของโลกทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่หยวนจะตกเป็นเป้าของการโจมตี
ในสมัยของสี จิ้นผิง เราจึงเห็นโอบามาเร่ิมดำเนินนโยบายปักหมุดในเอเชียเพื่อปิดล้อมจีน สกัดไม่ให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก เพราะโอบามาก็รู้ดีว่าจีนกำลังเอาใจออกห่าง ไม่ยอมเล่นตามเกมเดิมที่วางกรอบสร้างกันมาตั้งแต่สมัยของเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ทรัมป์เข้ามามีอำนาจด้วยนโยบายMake America great againเพื่อก่อสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีกับจีน แม้ว่าสหรัฐจะต้องพึ่งพาจีนมากก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเข้าสินค้าจีน และการที่จีนที่เป็นเจ้าหนี้ ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในสัดส่วนที่สูงเกือบที่สุด เป็นรองแค่ญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนไบเดนยิ่งจะก้าวร้าวกับจีนมากยิ่งขึ้น สะท้อนการดิ้นรนของจักรวรรดิในเฮือกสุดท้ายก่อนวาระการรีเซ็ตระบบโลก 5/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/370673854427272
11. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
สหรัฐเริ่มรู้ตัวว่าต่อไปจะพ่ายแพ้จีนในสงครามเศรษฐกิจหลังจากเกิดวิกฤติการเงินของวอลล์สตรีทในปี 2008-2009 ในช่วงเวลานั้นหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นซีไอเอ สภาคมความมั่นคง เพนตากอน กระทรวงการคลังมีการสร้างสถานการณ์แบบจำลองของสงครามการเงินและสงครามเศรษฐกิจที่คล้ายกับสถานการณ์จริง ปรากฎว่าสหรัฐแพ้จีนทุกรูปแบบ อันนำไปสู่นโยบายของประธานาธิบดีโอบามาในการเปิดเกมเผชิญหน้ากับจีน เพื่อที่จะสกัดอิทธิพลของจีนในเวลาเศรษฐกิจและการเมืองโลก
โอบามาประกาศว่าสหรัฐได้กลับมาปักหมุดที่เอเชีย โดยส่งสัญญานว่าสหรัฐยังคงเป็นมหาอำนาจของเอเชียแปซิฟิคอยู่ แม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะเหินห่างจากเอเชียไปนาน หรือไม่ให้ความสนใจกับเอเชียมากเท่ากับความสำคัญของเอเชียที่เป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดในโลก โดยมีจีนเป็นแกนนำ ทั้งนี้เพราะว่าสหรัฐมัวไปปิดล้อมรัสเซีย หรือทำสงครามในตะวันออกกลาง ในปี 2014 จีนได้กลิ่นความเกี่ยวข้องของสหรัฐในการสนับสนุนแนวร่วมOccupy Centralที่ออกมาต่อต้านฮ่องกง อย่างไรก็ดี ในสมัยโอบามา จีนยังไม่ได้เป็นโฟกัสของการเผชิญหน้า เนื่องจากโอบามาที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมัวตะะว้าพะวงในการก่อสงครามใน7 ประเทศคือ อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อิรัค ซีเรีย ลิเบีย โซมาเลีย และเยเมนที่ต่างโดนโอบามาบอมบ์ทั้งนั้น
สงครามเย็นกับจีนมาก่อตัวเต็มรูปแบบสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ จะเห็นได้ว่าเดโมแครต และรีพับพลีกันเอาเข้าจริงแล้วก็มีนโยบายไม่ได้แตกต่างกันอะไร ต่างก็รับใช้วอลล์สตรีท เพนตากอน พวกบิ๊กคอร์ปอเรทเหมือนกัน ที่ต่างกันก็คือลมปากหรือการเล่นละครปาหี่ ทรัมป์ดำเนินนโยบายที่ต่อเนื่องจากโอบามา ด้วยการปล่อยสโลแกนหาเสียง “Make America great again” และAmerica First เพื่อสร้างกระแสชาตินิยม และมุ่งเป้าไปยังจีนว่าเป็นปัญหาที่ทำให้สหรัฐตกต่ำ โดยที่สหรัฐไม่โทษตัวเอง ทรัมป์กล่าวหาว่าจีนทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม เพราะบริษัทอเมริกันไปตั้งฐานธุรกิจและฐานผลิตที่จีนหมด ทำให้คนจีนแย่งงานคนอเมริกันไป การส่งออกของจีนทำให้สหรัฐต้องขาดดุลมหาศาลในแต่ละปี และทำให้จีนมีรายได้ที่เกินดุลมากที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่แฟร์ เพราะว่าจีนเอาแต่ส่งออกแต่ไม่ซื้อสินค้าอเมริกัน
ทรัมป์เรียกร้องให้บริษัทอเมริกันปิดโรงงานเพื่อย้ายฐานผลิตที่อเมริกาเพื่อสร้างงานและสร้างธุรกิจให้คนอเมริกัน อยากจะได้แรงจูงใจ หรือมาตรการภาษีอะไรก็ว่ามา ทรัมป์พร้อมสนองเต็มที่ ทรัมป์คุยโวว่าเขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่กล้าเผชิญหน้ากับจีนเพื่อแก้ปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรม พร้อมกันนั้นทรัมป์ได้ขึ้นภาษีศุลกากรทำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และถูกจีนตอบโต้แบบตาต่อตาปันต่อฟัน แต่การเมืองก็คือการเมือง ธุรกิจก็คือธุรกิจ บริษัทอเมริกันไม่ได้ย้ายกลับประเทศตามที่ทรัมป์เรียกร้อง เพราะว่าค่าแรงสหรัฐ หรือค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจในสหรัฐสูงกว่าจีนหลายเท่า นอกจากนี้จีนเป็นศูนย์กลางของระบบซับไพลเชนของโลก การที่โรงงานสหรัฐจะย้ายกลับไปได้ ระบบซัลไพลเชนต้องย้ายกลับไปตาม ซึ่งต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะสร้างได้ ไปๆมาๆทรัมป์คว้าน้ำเหลวเรื่องนี้
การที่ทรัมป์ใช้สโลแกน Make America great again เท่ากับเป็นการยอมรับว่าสหรัฐไม่ได้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป จึงจำเป็นที่ต้องได้รับการฟื้นฟู ด้วยการชนจีนแบบตรงๆโดยไม่เกรงใจกัน แต่ภาษีของทรัมป์ที่เก็บจากจีนไม่ได้ช่วยให้การขาดดุลการค้าลดลง แถมเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ การขาดดุลเพิ่มเป็นเท่าตัวในสมัยทรัมป์ เพราะว่าสหรัฐไม่ได้ผลิตสินค้า มีแต่บริโภค ถ้าไม่ซื้อจากจีนจะซื้อจากใคร สินค้าในห้างWal-Mart ทำมาจากจีนท้ังนั้น
เมื่อเล่นงานจีนทางการค้าไม่ได้ ทรัมป์หาเรื่องจีนว่า รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนโครงการ Made in China 2025 ที่จีนต้องการสร้าง ความเป็นเลิศเทคโนโลยีด้านต่างๆ เพื่อที่จะไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ โดยกล่าวหาว่า การที่รัฐบาลไปให้เงินสับสนุนการทำวิจับ พัฒนาโครงการMade in China 2025 เท่ากับเป็นการที่รัฐให้การอุดหนุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม เพราะว่าบริษัทอเมริกันใช้เงินระดมทุนของตัวเอง ไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐ ปรากฎว่าสหรัฐกลัวว่าเทคโนโลยีของจีนจะไปไกลถึงขนาดสหรัฐจะตามไม่ทัน
ในช่วงที่มีการเจรจาการค้ากัน สหรัฐกล่าวหาว่าจีนทำการค้าไม่เป็นธรรม มีการขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐ บีบยังคับให้บริษัทอเมริกันต้องเปิดเผยข้อมูลความลับทางการค้าและเทคโนโลยีการผลิต นอกจากนี้เทคโนโลยีของจีนแอบติดตั้งอุปกรณ์ดักฟังข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าของหัวเหว่ย จึงจำเป็นที่ต้องแบน5จีของหัวเหว่ย สหรัฐไม่ได้แบนหัวเหว่ยประเทศเดียว แต่ได้ล็อบบี้ให้ประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา อินเดียให้แบนหัวเหว่ยอีกด้วย แถมให้แคนาดาจับลูกสาวของผู้ก่อตั้งหัวเหว่ยเป็นตัวประกันที่เมืองแวนคูเวอร์ข้อหาละเมิดกฎหมายการค้าของสหรัฐ เพราะว่าบริษัทลูกของหัวเหว่ยไปค้าขายกับอิหร่าน
นอกจากนี้ สหรัฐมีการแซงชั่นฮ่องกง ให้การสนับสนุนนักศึกษาฮ่องกงให้ประท้วงรัฐบาลปักกิ่งเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หรือแยกฮ่องกงเป็นรัฐอิสระ แม้ว่าปักกิ่งจะประนีประนอมยอมให้ฮ่องกงเป็นเขตปกครองพิเศษหลังจากรับมองการส่งคืนเกาะฮ่องกงจากอังกฤษในปี 1997 เกิดเหตุจลาจลวุ่นวายในฮ่องกง มีการเผาบ้านเผาเมืองและประท้วงรายวัน แต่ทางเจ้าหน้าที่ฮ่องกงใช้ความอดทนเป็นพิเศษในการปราบม็อบอาตี๋อาหมวยที่ไม่เห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา
ทีสหรัฐเล่นงานฮ่องกง เพราะว่าจีนใช้ระบบ Shanghai Connect ที่เชื่อมโยงกับฮ่องกงเพื่อที่จะึงเอาเม็ดเงินลงทุนเข้าไปสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในจีนที่ต้องการใช้เงินมาก ส่วนมากแล้วเงินจากยุโรปเข้าจีนทางช้องทางของฮ่องกงเข้าไปในจีน และสหรัฐไม่ต้องการเห็นจีนได้ประโยชน์ในเรื่องนี้จึงหาเรื่องป่วนฮ่องกง
ในเมื่อปักกิ่งให้ฮ่องกงเป็นเขตปกครองพิเศษ ดูแลกันเองโดยมีระบบศาล ตำรวจ สภา เงินตราดอลล่าร์ฮ่องกง รัฐบาลฮ่องกงเพื่อรักษาสถานภาพการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของฮ่องกง แต่สหรัฐกับอังกฤษกลับไปละเมิดข้อตกลงนี้ ด้วยการสนับสนุนประชุมนุมประท้วงฮ่องกงเพื่อเรียกร้องการแยกตัวเป็นรัฐอิสระ ปักกิ่งจึงส่งคนเข้าไปดูแลฮ่องกงเป็นพิเศษ เพราะว่าให้ปกครองกันเองดีๆไม่ชอบ จึงต้องใช้ไม้แข็งเข้าไปจัดการ เมื่อใช้ไม้แข็ง ต่างชาติก็ด่าจีนว่าต้องการยึดฮ่องกงด้วยอำนาจเผด็จการ ไม่ต้องการให้ฮ่องกงเจริญรุ่งเรื่อง
นอกจากฮ่องกงแล้ว สหรัฐไปไกลถึงขนาดกล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนกับชาวอุยกูรย์ที่ซินเจียง มีแผนการที่จะส่งกองทัพไปยึดเกาะไต้หวัน และต้องการครอบครองหมู่เกาะในทะเลจีนใต้แต่ผู้เดียว พูดง่ายๆว่า เล่นงานจีนเป็นชุดๆ เพื่อที่จะดิสเครดิตจีน ว่าไม่สมควรที่จะเป็นมหาอำนาจโลก เพราะว่าจีนมีพฤฒิกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ พรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคเผด็จการ จีนมีค่านิยมแบบเผด็จการที่แตกต่างจากสิทธิเสรีภาพหรือเสรีนิยมประชาธิปไตยของสหรัฐ
ที่สำคัญที่สุด เมื่อเกิดการระบาดของโคโรนาไวรัสที่เมืองอู่ฮั่น ทรัมป์เรียกไวรัสว่า ไซนิสไวรัส กล่าวหาว่าจีนเป็นผู้สร้างไวรัส เรื่องราวต้นตอการระบาดของไวรัสเกิดขึ้นมาได้อย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความตั้งใจที่จะให้ไวรัสทำลายเศรษฐกิจจีนไม่ได้มีผลมาก เพราะว่าเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปได้รับผลกระทบจากไวรัสมากกว่าจีนที่มีการบริหารจัดการโรคระบาดได้อย่างเด็ดขาดตั้งแต่ต้น เห็นได้ว่ารัฐบาลจีนมีการดูแลเรื่องเครดิตหรือการปล่อยกู้เป็นเวลาปีกว่าในช่วงการระบาดขอโควิด แสดงว่าจีนกลัวเงินเฟ้อหรือฟองสบู่มากกว่ากว่าไวรัส ในขณะที่สหรัฐปั๊มเงินเข้าระบบมหาศาล รวมท้ังดำเนินนโยบายพิมพ์เงินทำคิวอี กดดอกเบี้ยลงเหลือ0% เพื่อที่จะอุ้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐ และอุ้มตลาดหุ้น
ในสงครามเย็นที่ผ่านมาต้ังแต่โอบามา ทรัมป์ถึงไบเดน ยังไม่ปรากฎชัดว่าจีนเพลี่ยงพล้ำต่อสหรัฐ สี จิ้นผิงไม่ได้ออกมาตอบโต้อะไร ได้แต่ปล่อยระดับรัฐมนตรี หรือโฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาพูดแทน เพราะว่าผุ้นำสหรัฐใช้คำพูดที่ค่อ่นข้างถ่อย ในทางตรงข้ามสียืนพื้นหนักแน่นในจุดยืนของตัวเองที่มั่นคง ไม่ยอมลดลาวาศอกทำให้สหรัฐยังทำอะไรจีนได้ไม่ถนัดมือ เพราะว่าจีนเป็นผู้ผลิต สหรัฐเป็นผู้ซื้อ จีนเป็นเจ้าหนี้ สหรัฐเป็นลูกหนี้ อำนาจการต่อรองจึงไม่เหมือนกัน
4/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/370446291116695
10. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
ในปี2015 นายพล Qiao Liang แห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน และนักวิเคราะห์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ไปพูดในเวทีของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน เขาบอกว่าหลังจากที่ได้ศึกษาทฤษฎีทางการเงิน เขาพอที่จะสรุปได้ว่าสหรัฐใช้ยูเอสดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก เพื่อที่จะรักษาหรือปกป้องความเป็นจ้าวบนโลกนี้แต่ผุ้เดียว เขาพูดต่อไปว่า สรหัฐจะทำทุกวิถีทาง รวมท้ังก่อสงครามเพื่อที่จะปกป้องอิทธิพลของดอลล่าร์ในระบบการค้าของโลก
เนื่องจากสหรัฐมีดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก และคุมแท่นพิมพ์ดอลล่าร์เอง จึงสามารถควบคุมมันนี่ซับไพล หรือปริมาณเงินดอลล่าร์ให้เพิ่มหรือให้ลดก็ได้ตามวัฎจักรเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าธนาคารกลางสหรัฐที่วอลล์สตรีทและลอนดอนบงการอยู่จะลดดอกเบี้ย หรือจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างไร
นายพลQiaoบรรยายว่าสหรัฐทำลายกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในยุค1970sด้วยการให้สถาบันการเงินปล่อยเครดิตถูกๆรัฐบาลของประเทศอเมริกาใต้ใช้จ่ายหนี้สนุกมือ หลังจากนั้นมีการขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินทุนไหลกลับสหรัฐ ค่าเงินของประเทศลาตินตกต่ำ เพราะว่า คนแห่ขายเงินสกุลของบ้านตัวเองไปถือดอลล่าร์ เจ้าหนี้ทวงเงินคืนทำให้เกิดวิกฤติการทางการเงิน เสร็จแล้วต่างชาติก็เข้าไปซื้อทรัพย์สินของประเทศลาตินอเมริกาในราคาถูกๆที่ต้องตัดใจขาย เพราะว่าเศรษฐกิจตกต่ำ ฐานะการคลังของรัฐบาลล้มละลาย
หลังจากนั้นสหรัฐก็ใช้ลูกไม้เดิมๆนี้กับเอเชียในทศวรรษที่ 1990sโดยมีไทย อินโดเนเซีย เกาหลีใต้เป็นเป้าใหญ่ สหรัฐมีการกดดอกเบี้ยลงต่ำ เพราะอ้างว่าเศรษฐกิจของสหรัฐซบเซาทำให้ดอลล่าร์อ่อนค่า ดอลล่าร์จึงไหลไปยังประเทศตลาดเกิดใหม่ เอเชียและประเทศไทย สถาบันการเงินไทยและบริษัทไทยกู้ดอลล่าร์เป็นว่าเล่น เพราะว่าดอกเบี้ยดอลล่าร์ถูกกว่าดอกเบี้ยไทย นอกจากนี้ไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะว่าธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทด้วยการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ โดย$1=25บาท ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่ค่อยจะแปรผัน เพราะว่าแบงก์ชาติประกันความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยพร้อมใช้ดอลล่าร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีปริมาณจำกัดเพื่อปกป้องค่าเงินบาท
หลังจากที่ไทยและประเทศที่เสพเงินกู้ดอลล่าร์ที่ดอกเบี้ยถูกๆจนพุงกางแล้ว วงจรเศรษฐกิจสหรัฐกลับมาอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขึ้น เงินจึงทุนไหลกลับไปที่วอลล์สตรีท ทำให้ดอลล่าร์แข็งค่า ส่งออกแครซ ทำให้ไทยซึ่งกู้ดอลล่าร์มาใช้ประมาณ$100,000กว่าล้าน และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศประมาณ$39,000ล้าน ณ สิ้นปี1996ไม่มีดอลล่าร์เพียงพอที่จะชำระหนี้ต่างประเทศ ทำให้เกิดแพนิค นักลงทุนรีบทิ้งบาทแลกดอลล่าร์ สร้างแรงกดดันมหาศาลให้ค่าเงินบาท
แบงก์ชาติไทยหน้ามืด ปกป้องเงินบาทจนวินาทีสุดท้ายจนท้ายที่สุดมีการขายดอลล่าร์เพื่อพยุงค่าเงินบาทจนแทบเกลี้ยงพอร์ตคงเหลือเพียง$800ล้านเท่านั้น พูดได้ว่าประเทศไทยล้มละลายทางการเงิน ในช่วงที่ลดค่าเงินบาทในวันที่ 2กรกฎาคมปี 1997 ทำให้ต้องกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ$17,200ล้านเพื่อพยุงฐานะของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจให้เจ้าหนี้ว่า เราจะมีดอลล่าร์พอในการจ่ายหนี้ หรือในการค้าขายระหว่างประเทศ เพราะว่านำเข้าน้ำมันหรือวัตภุดิบต่างๆต้องใช้ดอลล่าร์ที่เราไม่ได้พิมพ์เองเหมือนเงินบาท
ผลของการเข้าโปรแกรมไอเอ็มเอฟทำให้ไทยต้องเปิดเสรีการเงิน แบงก์ไทยและบริษัทไทยต้องตกเป็นของต่างชาติที่เข้ามาซื้อในราคาถูกๆ
แต่สำหรับกรณีของจีน นายพลQiaoกล่าวในปี 2012ว่า เขาคิดว่าเป้าหมายของสหรัฐต่อไปคือการทำลายจีน เพราะว่าถ้าเรายอมรับสมมุติฐานว่าสหรัฐใช้ไซเกิ้ลของดัชนีดอลล่าร์เพื่อที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศอื่น มันก็คงจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่สหรัฐจะแสวงหาผลประโยชน์จากจีนในลักษณะเดียวกัน เพราะว่าจีนได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศมากที่สุดในโลก ขนาดเศรษฐกิจของจีนใหญ่กว่าทวีปลาตินอเมริกาและใหญ่พอๆกับเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออก
จีนเข้าใจเกมการเงินระดับโลกของสหรัฐดี จึงไม่ยอมปล่อยเสรีทางการเงิน หรือเสรีทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ เพราะว่ายังไม่อยู่ในฐานะที่จะสู้กับยูเอสดอลล่าร์ที่ถูกใช้เป็นอาวุธมหาประลัยในการทำลายเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศต่างๆ โดยที่ส่วนมากจะติดกับดักรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะว่ายามกู้ดอลล่าร์ด้วยเครดิตถูกๆทำให้เศรษฐกิจเติบโตดี ค้าขายคล่อง ตลาดหุ้นบุม นักธุรกิจและประชาชนแฮปปี้ แต่พอวัฎจักรเปลี่ยนตามการควบคุมของธนาคารกลางของสหรัฐ ดอกเบี้ยดอลล่าร์กลับมาอยู่ในขาขึ้น ค่าเงินดอลล่าร์แข้งค่าขึ้น ดอลล่าร์ไหลกลับวอลล์สตรีท มีการเทขายค่าเงินของประเทศเกิดใหม่ทำให้ค่าเงินตกต่ำ เกิดภาวะหนี้และเศรษฐกิจตกต่ำพร้อมๆกัน debt deflation รัฐบาลอยู่ไม่ได้ ประเทศล้มละลาย
ที่ผ่านมาจีนอ่านเกมออก จึงรอดตัวมาได้ เพราะว่ามีผู้นำที่เข้าใจในระบบการเงินโลก หรือวิธีการที่สหรัฐใช้ดอลล่าร์เพื่อทำลายเศรษฐกิจของประเทศต่างๆอย่างไร และจีนก็เป็นเป้าที่ใหญ่ที่สุดที่ต้องถูกทำลาย เมื่อยังทำลายไม่ได้ สหรัฐจึงออกอาการฟาดงวงฟาดงาจีนในเวลานี้ 3/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/369835197844471
9. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร? สหรัฐสร้างจีนให้เกิดใหม่ แต่ไม่คิดว่าการเกิดใหม่ของเศรษฐกิจจีนจะไปไกลถึงขนาดกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งศตววรษ แต่ในใจคิดปลอบใจตัวเองตลอดเวลาว่า เมื่อสร้างจีนได้สามารถที่จะทำลายจีนได้ทุกเมื่อ เพราะเชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจจีนมีอัตราการเจริญเติบโตสูงเป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อถึงจุดหนึงฟองสบู่จีนจะแตก เหมือนกับเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ฟองสบู่แตก สหรัฐสร้างญี่ปุ่นให้ฟื้นทางเศรษฐกิจจากความบอบช้ำที่แสนสาหัสจากสงครามโลกครั้งที่2ที่สหรัฐบอมบ์ญี่ปุ่นด้วยระเบิดนิวเคลียร์2ลูกที่เมืองฮิโรชิม่า และเมืองนางาซากิ แต่สหรัฐยังคงควบคุมญี่ปุ่นด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการทหารที่สหรัฐยังคงมีฐานทัพอยู่ในญี่ปุ่นเพื่อที่จะต่อกรรัสเซีย หรือจีนในวันข้างหน้าเมื่อเวลามาถึงการจัดระเบียบโลกใหม่ ญี่ปุ่นมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ 1960s, 1970s และ1980sจนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ2 ของโลกโดยมีเยอรมันนีตามหลัง ก่อนที่ฟองสบู่ญี่ปุ่นจะแตกในต้นทศวรรษที่ 1990s จนป่านนี้หรือ30ปีให้หลังตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังไม่กลับไปยังจุดเดิมที่เคยไต่ไปในระดับสูงสุด เศรษฐกิจระบบอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นอยู่ในภาวะที่เดินหน้าไปถอยหลังไป โดยที่เทคโนโลยี่เริ่มที่จะไล่ตามจีนไม่ทัน แบรนด์สินค้าดังๆของญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นโซนี พานาโซนิค โตชิบา ชาร์ปกลายเป็นแบรนด์ที่ล้าสมัย สู้แบรนด์ของค่ายเกาหลี หรือค่ายจีนไม่ได้ ในขณะที่ต้องเผชิญกับปัญหาของสังคมผู้สูงวัยและภาระหนี้ของรัฐบาลต่อจีดีพีที่สูงที่สุดในโลก ที่น่ากังวลใจคือเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นจะสู้จีนได้หรือไม่ แบรนด์โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน มาสด้าต่อไปจะสู้แบรนด์จีนได้หรือไม่ เพราะว่าจีนก้าวไปไกลกว่าในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี่รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้จีนมีมีตลาดรถยนต์ที่ใหญ่กว่า คนจีนพร้อมซื้อสินค้าจีนทำให้บริษัทรถยนต์จีนสามารถขายรถยนต์ในราคาถูก แต่มีรายมาก เมื่อมีรายได้มากก็สามารถลงทุนในเรื่องของการวิจัยและพัฒนา หรือจ้างบุคคลากรที่มีความสามารถเพื่อต่อยอดคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพและมีรูปทรงที่ทันสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ ญี่ปุ่่นฟองสบู่แตกเพราะทำเอง หรือเพราะว่าถูกสหรัฐทำเพื่อเลี้ยงไข้ให้ญี่ปุ่นอ่อนแอจะได้พึ่งพาสหรัฐตลอดไปคงจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาลงลึกในอันดับต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงPlaza Accordในปี1985 ที่สหรัฐกดดันให้ญี่ปุ่นต้องปรับค่าเงินแข็งขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานผลิตออกนอกประเทศ และเศรษฐกิจญี่ปุ่นเกิดหองสบู่ลูกยักษ์ ทำให้เศรษฐกิจพังในเวลาต่อมา และสังคมญี่ปุ่นอ่อนแอลง
บริษัทญี่ปุ่นที่ย้ายไปสร้างฐานผลิต หรือฐานธุรกิจทั่วโลกกลายเป็นบริษัทข้ามชาติ จนแทบจะดูไม่ออกว่าเป็นสัญชาติญี่ปุ่น ในแง่นี้บริษัทญี่ปุ่นอาจจะยังคงดูดี แต่ประเทศญี่ปุ่น และคนญี่ปุ่นมีอนาคตที่มืดมนกว่า อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นยังคงมีขนาดเศรษฐกิจอันดับ3ของโลก (จีดีพี$5.38ล้านล้าน)โดยถูกจีน (จีดีพี$16.6ล้านล้าน)แซงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว3เท่าตัว
แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด สหรัฐสร้างให้ญี่ปุ่นเจริญทางเศรษฐกิจเพื่อว่าญี่ปุ่นจะรีไซเกิ้ลดอลล่าร์ที่ได้จากการส่งออกไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทำให้สหรัฐมีเงินใช้จ่ายเกินตัว เหมือนกับที่สหรัฐสร้างเปโตรดอลล่าร์และสร้างจีนเพื่อให้หนุนดอลล่าร์หลังจากที่สหรัฐยกเลิกการใช้ทองคำหนุนดอลล่าร์ในระบบBretton Woods
ญีปุ่่นกลายเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ออกมาเพื่อก่อหนี้อุดงบประมาณขาดดุลสูงสุดในโลกในเวลานี้ คือถืออยู่ประมาณ$1.24ล้านล้าน ส่วนจีนถืออยู่$1.10ล้านล้าน ขณะที่รัสเซียได้ทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ไปหมดพอร์ตแล้วในการทำสงครามการเงินกับสหรัฐ จีนกำลังคิดหาทางทะยอยทิ้งพันธบัตรสหรัฐเหมือนกัน แต่ยังทำอะไรได้ไม่ถนัดเพราะว่าความมั่งคั่งของจีนยังผูกติดกับสหรัฐอยู่ และถ้าจีนเททิ้งพันธบัตรสหรัฐตูมเดียว สงครามอาจจะปะทุขึ้นมาเลยก็ได้ แต่จีนตัดหางปล่อยวัดสหรัฐแล้ว รอวันผ่องถ่ายยูเอสดอลล่าร์แอสเสทให้หมดพอร์ตเหมือนรัสเซียที่มีทรัพย์สินในรูปดอลล่าร์น้อยกว่าจีนมาก เพราะว่ามีรายได้จากการขายน้ำมันอย่างเดียว
ในตอนที่สหรัฐสร้างจีน สหรัฐมองว่า ถ้าหากว่าฟองสบู่จีนแตก หรือถูกสหรัฐทำให้แตกเหมือนฟองสบู่ญี่ปุ่น จีนจะไม่สามารถกลับมาผลักดันให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวในระดับที่เหมาะสม มันจะเป็นหนังคนละม้วนกับญี่ปุ่นที่เป็นเกาะที่แยกออกจากแผ่นดินใหญ่ของเอเชีย มีประชากรมาจากสายพันธุ์เดียวกัน ไม่เหมือนจีนที่มีประชากรมากกว่า1,400ล้านคน แค่คน10-20ล้านไม่มีกิน รัฐบาลก็เอาไม่อยู่แล้ว ประชากรจีนมีหลายเผ่าพันธุ์ ประเทศจีนประกอบด้วยหลายแว่นแคว้นหรือมณฑล ปักกิ่งที่เป็นศูนย์กลาง (Center)จะสามารถดูแลมณฑล (peripherals)ได้หรือไม่ ถ้าหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เกิดการว่างงานในอัตราที่สูง ประชาชนไม่มีกินอันเกิดจากการโจมตีทางการเงินของสหรัฐที่คุมมันนี่ซับไพลของโลก เพราะสหรัฐคุมแบงก์และระบบการเงิน โดยมีดอลล่าร์เป็นอาวุธที่พิมพ์ได้ไม่อั้น ส่วนจีนมีโรงงานมีสินค้า มีระบบซับไพลเชน รับกันทางเศรษฐกิจจริงๆ สหรัฐคิดว่าเอาจีนอยู่เหมือนกับเอาญี่ปุ่นอยู่หมัด
นอกจากนี้เมื่อจีนพัฒนาเศรษฐกิจได้ถึงจุดหนึ่ง คนจีนรุ่นใหม่จะมีความคาดหวังสูง สังคมจีนจะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น สหรัฐจะส่งลัทธิประชาธิปไตย หนังฮอลลี่วู๊ดเข้าไปให้จีนเสพผ่านสื่อหรือระบบการศึกษา คนจีนสมัยใหม่จะไม่อยากอยู่ระบบขงจื้อ แต่จะนิยมชมชอบโทมัส เจฟเฟอร์สัน
รัฐบาลปักก่ิงบริหารประเทศในรูปแบบอำนาจนิยม (authoritarianism) เมื่อยามเศรษฐกิจยังดีจะไม่มีใครบ่นอะไรมาก แต่ถ้าหากว่าเกิดเข้ายุคข้าวยากหมากแพง ประชาชนจะหันมาตั้งคำถามพรรคคอมมิวนิสต์และระบบการปกครองของจีน อาจจะไม่ฟังรัฐบาลต่อไป หรือหันมาฝักใฝ่ในโลกตะวันตก หลงใหลในเสรีภาพประชาธิปไตย ถึงเวลานั้นสหรัฐจะสนับสนุนการประท้วงเทียนอันเหมิ่นรอบ2 โดยหมายมั่นว่าจีนจะล่มสลายหรือแยกออกเป็นเสี่ยงๆเหมือนกับที่โซเวียตล่มสลายแตกแยกออกเป็น15ประเทศ
แต่ดูแนวโน้มแล้ว สหรัฐไม่สามารถทำลายจีนได้เหมือนอย่างที่ตั้งใจ เพราะว่าผู้นำจีนอ่านเกมทัน คุมเข้มเกือบทุกด้าน แม้ว่าต้องยอมรับว่าในพรรคคอมมิวนิสต์เองก็ต้องมีผู้ที่ฝักใฝ่ในโลกตะวันตกเป็นธรรมดา เนื่องจากต้องการแย่งชิงอำนาจกันเอง ที่ทำลายจีนหรือยังทำลายไม่ได้เพราะว่าจีนไม่ได้หลงปล่อยเสรีทางเศรษฐกิจ หรือทางการระบบการเงินอย่างสุดขั้วเหมือนประเทศสยาม ไม่ได้ปล่อยเสรีทางออนไลน์ อินเทอร์เน็ต ไม่ได้ปล่อยเสรีทางดุลบัญชีชำระเงิน ไม่ได้ปล่อยเสรีเงินหยวน ทุนจีนยังคงคุมเศรษฐกิจอยู่ ไม่ใช่ทุนฝรั่ง เมื่อจีนยังคงคุมเกมก็ยากที่สหรัฐจะทำลาย แม้จะมีความพยายามที่จะสร้างและทำลายตลาดหุ้นจีน และทุบค่าเงินหยวนในช่วงที่ผ่านมาเช่นในปี 2015
เมื่อสหรัฐสร้างจีนให้เติบโตเป็นฐานผลิตสินค้า และฐานที่จะรีไซเกิ้ลของดอลล่าร์เพื่อควบคุมหรือทำลายทีหลัง แต่ไปๆมาๆกลับผิดแผนคุมจีนไม่ได้ ทำลายก็ไม่ได้ มิหน่ำซ้ำจีนยังมีแววที่จะมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแซงหน้าสหรัฐในอีก10ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจีนก็ล้ำหน้าไปดวงจันทร์หรือดาวอังคารได้เหมือนกัน อาวุธนิวเคลียร์ก็มีมากพอๆกัน ความมั่งคั่งจีนจะมากกว่า ที่แสบสันต์คือจีนเตรียมตัดหางปล่อยวัดสหรัฐด้วยการสร้างโครงการเส้นทางสายไหมที่จะรวม3ทวีปเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกันผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้่นฐาน โดยตัดอเมริกาเหนือออกจากสมการ เส้นทางสายไหมจะเป็นศูนย์กลางของการเจริญเติบโตของโลกต่อไปไม่ใช่อเมริกาเหนือ
เมื่อได้เวลาจีนจะขายของรับแต่เป็นเงินหยวนไม่รับดอลล่าร์ เหมือนสหรัฐที่ขายของรับแต่ดอลล่าร์ในเวลานี้ เมื่อถึงเวลานั้นสหรัฐจะทำอย่างไร? 3/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/369709061190418
8. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร? อย่างที่ได้กล่าวในตอนก่อนหน้านี้ จีนมีการปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม (socialism) แม้ว่าจีนจะมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ (Chinese Communist Party) แต่พรรคคอมมิวนิสต์นั้นเป็นคอมมิวนิสต์เพียงแต่ชื่อ แต่ในความเป็นจริงพรรคดำเนินนโยบายสังคมนิยมเป็นหลัก เพราะว่าคอมมิวนิสต์เป็นสังคมในอุดมคติที่ไม่มีชนชั้น ไม่มีความเป็นเจ้าของ ทุกคนเสมอภาคกัน ปัจจัยการผลิตเป็นเจ้าของร่วมกัน ผลผลิตมีเกินพอเนื่องจากมีเทคโนโลยีล้ำหน้า ทุกคนอยู่ดีกินดี จนบ้านเมืองไม่มีผู้ร้าย ออกจากบ้านไม่ต้องปิดล็อคประตู จีนยังไปไม่ถึงพัฒนาการสุดท้ายของสังคมยูโทเปียหรือสังคมในอุดมคติ (Utopia) ณ ปัจจุบันจีนจึงยังคงอยู่ที่ระบบสังคมนิยมอยู่
ระบบสังคมนิยมคือระบบที่เอาสังคมมาก่อน หรือเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง โดยปัจจัยการผลิต ที่ดินทำกิจ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข สวัสดิการสังคมต่างๆรัฐบาลส่วนเป็นผู้ดูแล แต่ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นเจ้าของที่ดินทำกิน และให้ประชาชนสามารถทำการค้าขายประกอบธุรกิจได้ ตั้งบริษัทได้ โดยผสมผสานกันระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยม ก่อนเติ้งขึ้นมามีอำนาจ รัฐบาลผูกขาด หรือมีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจ แต่หลังจากนั้นบทบาทของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆจนขณะนี้เศรษฐกิจของภาคเอกชนมีสัดส่วนมากกว่า50% ของจีดีพีจีน
รัฐบาลก็คือตัวแทนของประชาชน1,400ล้าน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐมาจากคนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนส่งเข้ามาดูแลบริหารจัดการประเทศ คำถามว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งก่อตั้งในปี 1921 เอาอำนาจมาจากมาจากไหน? คำตอบคือ อำนาจของพรรคมาจากการปฏิวัติของเหมา เจ๋อตุงจนสามารถยึดอำนาจภายในอย่างเด็ดขาด และมีการสร้างชาติจีนใหม่เรียกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี 1949เป็นต้นมา พรรคคอมมิวนิสต์ครองอำนาจต่อเนื่องมาตลอด โดยไม่มีการเลือกตั้งเหมือนอย่างที่เราเข้าใจในระบบเลือกตั้งประชาธิปไตย แต่มีการถ่ายโอนอำนาจกันเองของคนในพรรค เลือกตั้ง หรือแข่งขันกันเองภายในกันเองภายในพรรค จนถึงขณะนี้ ผู้นำจีนมาถึงรุ่นที่5 โดยมีสี จิ้นผิงเป็นผู้นำที่กุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ
ถ้าถามจีนว่าปกครองด้วยระบอบอะไร จีนจะตอบว่า จีนปกครองด้วยระบอบsocialism with Chinese characteristics แปลว่า ระบอบสังคมนิยมด้วยลักษณะที่เฉพาะของจีน คำว่าด้วยลักษณะเฉพาะของจีนมีความสำคัญ หมายความว่าจีนใช้การปกครองในรูปแบบสังคมนิยมที่เอาผลประโยชน์ของประชาชนมาก่อน แต่ในสังคมนิยมนั้นอาจจะมีการดัดแปลงปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ หรือตามที่เห็นควร เท่ากับว่าจีนต้องการมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ไม่ต้องการยึดมั่นในตำราหรือคัมภีร์มากจนเกินไป เพราะว่าตำรากับความเป็นจริงของสถานการณ์อาจจะไม่เหมือนกัน คนจีนเป็นคนที่เน้นภาคปฏิบัติ (Pragmatism)มาแต่ไหนแต่ไรมากกว่าเน้นคำภีร์หรือทฤษฎีอย่างหัวชนฝา อันเห็นได้จากบทสนทนาระหว่างเล่าจื้อ ผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋ากับขงจื้อ ผู้ก่อตั้งลัทธิขงจื้อ ตอนที่ขงจื้อเดินทางไปเยี่ยมเยือนเล่าจื้อ ทันทีที่พบหน้ากัน เล่าจื้อพูดขึ้นไปว่า : “ท่านซ่งจิวปรัชญาเมธีที่ท่านเอ่ยถึงระหว่างการสนทนานี้ล้วนสิ้นชีพวายชนม์กันไปนานมากแล้ว ทั้งเกรงว่ากระดูกที่อยู่ใต้ดินก็คงจะผุพังเน่าเปื่อยจนหมดสิ้นแล้วเชานกัน เหลือแต่เพียงถ้อคำที่ยังคงบอกเล่าสืบกันไป คนฉลาดควรมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสังคม เมื่อชีวิตได้พบเจอกับสิ่งดีๆ ก็จงมุ่งมั่นในสิ่งนั้นต่อไป แต่หากชีวิตไม่ได้พบสิ่งดีๆ ก็จงพล้ิวไหวไปตามสายลมให้ตนเองเป็นอิสระเสรี"
พร้ิวไปตามสายลมหมายความว่าต้องมีความยืดหยุ่น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ไม่ได้ ไม่กอดตำราจนตัวตาย
เติ้ง เสียวผิงจึงใช้คำพูดที่โค๊ดกันมาตลอดคือ แมวจะสีอะไรก็ตามไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็แล้วกัน หมายความว่าจีนไม่จำเป็นจะต้องเดินตามตำราสังคมนิยมอย่างเคร่งครัดจนไม่สามารถจะบริหารจัดการประเทศ หรือฟื้นฟูประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าได้ อันเป็นที่มาของการที่เติ้งใช้ระบบทุนนิยมเข้ามาผสมผสานในการบริหารเศรษฐกิจเพื่อรองรับการลงทุนของสหรัฐ หรือต่างประเทศเมื่อตอนที่เปิดประเทศในปี 1979 การผสมผสานระหว่างสังคมนิยมและทุนนิยมนี้เป็นรากฐานทำให้เอกชนจีนค่อยๆเติบโตในแนวการทำธุรกิจแบบทุนนิยม แต่มีรัฐบาลใช้อำนาจทางการเมืองพรรคเดียวท่ี่เด็ดขาดในการบริหารประเทศให้เข้ารูปเข้ารอยตามกรอบของสังคมนิยมที่ต้องเหนือกว่าทุนนิยม เพราะว่าทุนนิยมมือใครยาวสาวได้สาวเอาจะสร้างความเหลื่อมล้ำ และจะก่อปัญหาทางการเมืองและสังคมตามมา เนื่องจากไม่สามารถดูแลประชาชน1,400ล้านคนให้ทั่วถึง
ในแง่นี้จีนมีความแตกต่างอย่างชัดเจนของระบบสหรัฐอเมริกา ระบบสังคมนิยมของจีนเอาสังคม ประชาชนหรือส่วนรวมมาก่อน ส่วนระบบทุนนิยมเสรีนิยมของสหรัฐเอาผลประโยชน์ของบริษัทมาก่อน ทำให้บางคร้ังคนชอบเรียกสหรัฐว่า America Inc หรือCorporate America ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในการบริหารประเทศของสหรัฐอเมริกาจะเอาใจ หรือดำเนินนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท หรือภาคธุรกิจให้ได้กำไรให้มากที่สุด หรือให้มีความเจริญก้าวหน้า เพราะว่ายิ่งบริษัทหรือแบงก์ได้กำไรดี ก็จะนำไปสู่การจ้างงาน ด้วยเหตุนี้การดูแลประชาชนหรือสังคมในระบบทุนนิยมสหรัฐจะมาทีหลังผลประโยชน์ของคอร์โปเรท
แต่ในเบื้องลึกภาคการเงินหรือวอลล์สตรีทจะอยู่เหนือภาคคอร์ปอเรทอีกชั่นหนึ่ง หรือมีอำนาจเหนือทำเนียบขาว และสภาคอนเกรซ ตอนนี้ซิลิคอนแวลเลย์ ซึ่งมีพวกบิ๊คเทคเป็นตัวแทนกำลังกลายเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ในระบบเศรษฐกิจสหรัฐที่น่าจับตามอง
ในประเทศจีนใครใหญ่สุด? แน่นอนทีเดียวที่รัฐบาลกลางจีนที่ปักก่ิงใหญ่สุด โดยรัฐบาลปักกิ่งเป็นตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์ และสมาชิกบูลิทยูโรที่บริหารพรรคในระดับสูงสุด โดยมีเลขาธิการพรรคคือสี จิ้นผิงที่เป็นทั้งผู้นำพรรค ผู้นำรัฐบาลในฐานะประธานาธิบดีและเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปลดแอกประชาชน
ในสหรัฐอเมริกาใครใหญ่สุด? เห็นได้ชัดเจนว่าประธานาธิบดีสหรัฐไม่ได้ใหญ่ที่สุดเหมือนผู้นำจีน แม้ว่าตามตำราจะบอกว่าประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหารประเทศเพราะว่าได้ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนคนอเมริกันโดยตรง และดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญการทหารสูงสุด (Commander in Chief) แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐสั่งธนาคารกลางสหรัฐไม่ได้ ปล่อยให้US Federal Reserveพิมพ์เงินช่วยวอลล์สตรีทมาตลอด โดยไม่ได้ช่วยประชาชน แบงก์ขาดสภาพคล่องเมื่อใด เฟดจะรีบอัดเงินเข้าไปช่วย ประชาชนขาดสภาพคล่องก็ต้องช่วยตัวเอง good luck ประธานาธิบดีสหรัฐสั่งเพนตากอนของฝ่ายทหารไม่ได้ต้องเพิ่มงบประมาณการทหารทุกปีๆ เพนตากอนก็เขียนเสือให้วัวกลัวเพื่อที่จะได้เพิ่มงบ สส สว ทำเนียบขาวก็พร้อมประเคนงบประมาณให้มากที่สุดของการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี
ประธานาธิบดีสหรัฐสั่งบิ๊คเทคไม่ได้ อันเห็นได้จากประธานาธิบดีทรัมป์ถูกบิ๊กเทคอย่างเฟสบุ๋ค ทวิทเตอร์ ยูทูปแบนแอคเค้าท์ในช่วงควันหลงของการแข่งนับคะแนนเลือกตั้งกับโจ ไบเดน นโยบายสาธารณสุขของสหรัฐในเวลานี้ทำตามอิทธิพลของไฟเซอร์ ประธานาธิบดีสหรัฐหลังจากชนะการเลือกตั้งไม่สามารถฟอร์มครม ด้วยตัวเองได้ Council on Foreign Relations หรือ CFRจะเป็นผู้ส่งคนเข้าไปบริหารทำเนียบขาว ประธานาธิบดีแค่ทำหน้าที่แสดง หรือแอคติ๊ง อ่านสกริ๊ปเล่นตามบทที่ผู้อยู่เบื้องหลัง คือวอลล์สตรีท CFR คอร์ปอเรท ฝ่ายความมั่นคง ทหาร หรือรวมทั้งลอนดอนก็ว่าได้
โมเดลของ2ระบบนี่้ระหว่างสังคมนิยมแบบจีนๆ กับทุนนิยม/เสรีนิยม/ประชาธิปไตยที่เอื้อการผูกขาดของวอลล์สตรีท คอร์ปอเรทกับบิ๊คเทคอย่างไหนจะดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือประชาชนมากกว่ากัน? อย่างไหนจะยั่งยืนมากกว่ากัน? 3/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/369591317868859
7. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
การเปิดประเทศ หรือการเปิดเสรีเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าทำไม่ถูกวิธีผลเสียจะตามมากับประเทศชาติจนแก้ไขภายหลังไม่ได้ จีนคิดหนักเกี่ยวกับการเปิดประเทศ เพราะว่าระบบกฎเกณฑ์ต่างๆของโลก สหรัฐเป็นผู้ที่ควบคุมทุกอย่าง ถ้าเปิดประเทศสุ่มสี่สุ่มห้า ในขณะที่เศรษฐกิจจีนยังไม่แข็งแรงพอ หรือยังไม่พัฒนา และประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้มแข็ง จีนจะเสียเปรียบ เพราะต้องเล่นตามเกม หรือกฎกติกาของสหรัฐ ทำให้ไม่มีอำนาจการต่อรอง สหรัฐและยุโรปกดดันให้จีนเปิดเสรีระบบเศรษฐกิจตลอด แต่จีนตีกรรเชียงไปเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้จีนจึงเลือกที่จะเปิดอะไรที่เปิดได้ อะไรที่จะปิดก็ต้องปิดไปก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงินที่จีนควบคุมเรื่องการไหลเข้าไหลของของเงินทุนเคลื่อนย้าย เงินไหลเข้าจีนจะง่ายกว่าไหลออก เงินหยวนอยู่ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ โดยเคลื่อนไหวแบบเกาะแน่นกับค่าเงินของยูเอสดอลล่าร์ ระยะหลังเริ่มมีการปรับเปลี่ยนคระกร้าเงินเพื่อลดน้ำหนักยูเอสดอลล่าร์ ทำให้ธนาคารกลางจีนมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวน ค่าเงินหยวนที่มีเสถียรภาพจึงช่วยในการส่งออก จีนไม่ปล่อยเสรีเรื่องการเงิน เพราะว่าลอนดอนกับวอลล์สตรีทควบคุมกลไกระบบการเงินโลก
ถ้าหากว่าหยวนทะเล่อทะล่าออกไปแข่งกับเขามีหวังถูกทุบเหมือนเงินบาท หรือเงินตราของประเทศเกิดใหม่ที่ถูกหลอกให้เปิดเสรี แล้วสร้างหนี้จนเกินเหตุ วอลล์สตรีทคุมปริมาณเงินของโลก money supply สร้างวัฎจักรของดอกเบี้ยได้ พอดอกเบี้ยต่ำเงินดอลล่าร์ก็ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ ทำให้เศรษฐกิจบูม ตาดหุ้นเฟื่องฟู พอดอกเบี้ยขึ้น เงินดอลล่าร์ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ทำให้ หนี้ต่างประเทศที่ก่อขึ้นไม่สามารถชำระหนี้ได้ เพราะว่ามีดอลล่าร์ไม่พอ แถมถูกเฮ็ดจ์ฟันด์ทุบค่าเงิน ทำให้เกิดวิกฤติ พอเกิดวิกฤติ ไอเอ็มเอฟจะเข้ามาปล่อยกู้ ทวงหนี้ให้เจ้าหนี้แบงก์วอลล์สตรีท แล้วบังคับให้ขายรัฐวิสาหกิจเพื่อจ่ายหนี้ พร้อมเปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการในราคาถูกๆ ประเทศส่วนมากโดนวอลล์สตรีทกับลอนดอนสบคบกันทุบจนน่วม หมดตัวไปตามๆกันในลักษณะนี้ ไทยเราโดนมาแล้วช่วงต้มยำกุ้งปี1997
แม้ว่าเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่อันดับสองของโลก แต่การใช้เงินหยวนในระบบการเงินโลกยังน้อยเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ เพราะว่าจีนไม่ปล่อยเสรีนั้นเอง จีนจะค่อยๆผ่อนคลายกฎเกณฑ์ทางการเงินเมื่อมีความพร้อมจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจต้องมีความแข็งแกร่งก่อน เทคโนโลยี่ต้องเหนือชั้นหรือพึ่งพาตัวเองได้ และระบบการเงินของจีนต้องมีความมั่นคง บริษัทจีนต้องเข้มแข็ง ประชาชนต้องกินดีอยู่ดีในระดับที่ยอมรับได้ ที่สำคัญแสนยานุภาพทางทหารของจีนต้องพร้อม เพราะว่าเวลาคุยกันไม่รู้เรื่องสหรัฐจะยกกองทัพเรือมาปิดปากอ่าว เวลาไม่ใช่ปัญหาของจีน จีนคอยได้ ค่อยๆทำไป เมื่อถึงเวลาพร้อมจริง ถึงจะเปิดเสรี ไม่พร้อมก็ไม่ต้องทำ และเมื่อเปิดเสรีแล้ว ต้องคุมเกมได้ หมายความว่าภาคเอกชนกับภาครัฐต้องมีความเข้มแข็งจริงๆ ไม่เหมือนเมืองไทยที่ต่างฝ่ายต่างคิด แต่ไม่เห็นภาพองค์รวมของความมั่นคง หรือความสามารถในการแข้งขัน รวมท้ังเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ
เรื่องอินเทอร์เน็ตจีนให้ความสำคัญมาก เพราะว่ามันเป็นความมั่นคง ถ้าหากว่าปล่อยเสรี ไม่มีการควบคุมให้ดี ต่างชาติจะเข้ามาล้วงข้อมูล หรือสอดแนม เพราะว่าในระยะเริ่มต้นจีนยังตามเรื่องออนไลน์ หรืออินเทอร์เน็ตไม่ทันโลกตะวันตก ทำให้มีปัญหาระหองระแหงใจกับยาฮู กูเกิ้ลที่ถูกแบน นอกจากนี้จีนให้ความสำคัญกับสื่อโซเซี่ยลมากจึงแบนเฟสบุ๊ค ทวิทเตอร์ ยูทูป เพราะว่าเป็นช่องทาง หรือเครื่องมือของตะวันตกในการสร้างอิทธิพลทางความคิดประชาธิปไตยสิทธิเสรีภาพที่เลยเถิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยลำบากเหมือนคนในยุคก่อนเปิดประเทศ หรืออาจจะไม่ได้รับรู้ความยากลำบากของประเทศจีนที่ต้องต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคม และวิกฤติต่างๆในอดีต
จีนพึ่งพาตัวเองด้วยการมีเสิร์ชเอนจิ่น สื่อออนไลน์ หรือโซเซียล แอปพลิเกชั่น หรือแพล็ตฟอร์มด้านข่าวสารข้อมูลข่าวสารของตัวเอง จีนมีประชากร1,400ล้านคน จะปล่อยเสรีข้อมูลข่าวสารก็จะเละเทะ เหมือนบ้านเราเวลานี้ที่โซเซี่ยลเล่นกันเละเทะมากเนื่องจากคุณภาพของประชาชนส่วนใหญ่ยังมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง มีความรู้ หรือความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆยังไม่ดี ทำให้ถูกหลอกหรือถูกชักจูงไปในทางความเชื่อที่ผิดๆ ไม่นับเฟคนิวส์ที่ระบาดหนัก ความมั่นคงของไทยจึงเทียบความมั่นคงของจีนไม่ได้ เพราะจีนไม่มีความแตกแยก 3/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/369460557881935
6. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
"ถ้าหากว่าไข่ถูกทำให้แตกจากภายนอก ชีวิตจะตาย ถ้าไข่แตกจากการถูกกระเทาะจากข้างใน ชีวิตจะเริ่มต้น ทุกส่ิงทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากข้างในทั้งนั้น" Jim Kwik
มาถึงสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ขึ้นมาครองอำนาจต่อจากเหมา เจ๋อตุงระหว่างปี 1978-1989 จีนเผชิญกับความจำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่ ประเด็นคือการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นแรงกระแทกจากภายนอกหรือเป็นแรงกระเทาะจากภายใน
ถ้าจีนถูกสหรัฐบีบให้เปิดประเทศจากมหาอำนาจตะวันตกเหมือนในอดีต และต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับที่ต่างชาติกำหนดเอาไว้อย่างเข้มงวด จีนจะเดินทางไปสู่หายนะอีกรอบ เพราะว่าต้องเล่นตามเกมตะวันตก
แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากแรงผลักดันภายในจีนเอง เพื่อความอยู่รอด หรือเพื่อวันข้างหน้าที่ประเทศชาติจะหลุดจากความตกต่ำและมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าขึ้น โดยที่เกมยังอยู่ในมือจีน จีนก็จะประสบความสำเร็จในการปฏิรูปประเทศเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกอีกคร้ัง เพราะว่าจีนเป็นอารยะธรรมเก่าแก่5,000ปี และมีศักยภาพทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องประชากร ทั้งปริมาณและคุณภาพรวมกัน
เพียงแต่ที่ผ่านมาจีนพลาดท่า ถูกรุกราน ถูกย่ำยี โดยที่ระบบภายในไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอที่จะต้านทานพลังจากภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้รุกรานจากอังกฤษ ชาติตะวันตกอื่นๆหรือญี่ปุ่นที่ต้องการเข้ามาแบ่งเค๊กขนมจีน
อย่างที่ได้กล่าวในตอนที่แล้ว ตามกรอบความคิดของเฮนรี่ คิสซิงเจอร์และนักยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศของสหรัฐ สหรัฐต้องการสร้างสังคมนิยมจีนให้เป็นทุนนิยม ด้วยการใช้จีนเป็นฐานผลิต โดยย้ายโรงงานมาผลิตในจีนแล้วส่งออกอีกต่อหนึ่ง เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้บริษัทอเมริกันและบริษัทข้ามชาติ เพราะแรงงานจีนถูกกว่าแรงงานในประเทศตะวันตกไม่รู้กี่10เท่า
นอกจากนี้ การลงทุนของสหรัฐในจีนจะทำให้จีนออกห่างจากรัสเซีย และต้องเปิดประเทศให้กว้างขึ้นในขณะเดียวกันต้องปฏิรูปโครงสร้างภายใน หรือกฎหมาย กฎระเบียบทุกอย่างเพื่อรองรับการดำรงอยู่อย่างถูกกฎหมายของบริษัทต่างชาติ การทำธุรกิจ การนำเข้าส่งออก รวมท้ังเรื่องเงินลงทุนผ่านระบบแบงกิ้ง การลงทุนของจากต่างชาติ ที่สำคัญเมื่อจีนได้ดอลล่าร์จากการส่งออกแล้ว จีนจะต้องรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปยังสหรัฐเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้สหรัฐสามารถสร้างดีมานด์เทียมสำหรับดอลล่าร์ และจะได้ใช้จ่ายเกินตัวต่อไป
เมื่อจีนพัฒนาถึงจุดที่ชนชั้นกลางมีการขยายตัว สินค้าของบริษัทอเมริกันและบริษัทข้ามชาติจะขายในตลาดจีนเอง ทำให้ธุรกิจยิ่งจะเจริญเติบโตต่อไป เมื่อจีนโตได้ระดับหนึ่ง จะถูกกดดันให้เปิดเสรีระบบเศรษฐกิจและการเงินอย่างเต็มที่ให้วอลล์สตรีทที่จะเข้ามาควบคุมระบบเศรษฐกิจจีน พร้อมกับส่งออกประชาธิปไตย แนวความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพเข้่าไปให้คนจีนรุ่นใหม่ได้เสพ
เนื่องจากสหรัฐเป็นเจ้าของดอลล่าร์ที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก เงินหยวน รวมท้ังทุกเงินสกุลในโลกจึงเป็นเพียงเงินบริวารของดอลล่าร์ที่อยู่ฐานะได้เปรียบจะทำลายค่าเงินของประเทศใดก็ได้ในสงครามการเงิน เพราะว่าธนาคารกลางของสหรัฐสามารถพิมพ์ดอลล่าร์ได้ไม่มีเพดาน ในขณะที่เงินทุกสกุลอื่นต้องมีดอลล่าร์ หรือทองคำเป็นรีเสิร์ฟเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเงินสกุลของตัวเอง
หรือถ้าจีนหือมาก สหรัฐอาจจะยกพลขึ้นบกที่ใดในจีนก็ได้ เนื่องจากแสนยานุภาพทางทหารเทียบกันไม่ได้ (ในตอนนั้น) เพราะสหรัฐมีนิวเคลียร์ที่บอมบ์ญี่ปุ่นจนราบคาบเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว
ในกรณีของจีน การเปลี่ยนแปลงมาจากทั้งการเคาะประตูกำแพงเมืองจีน และการที่จีนยอมเปิดประตูที่ต้องกระทำการอย่างรอบคอบ มิเช่นนั้นประเทศจะมุ่งสู่หายนะเมื่อเวลาผ่านไป และรัฐบาลไม่สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆในประเทศที่เกิดจากอิทธิพลจากภายนอกได้
จีนยอมเปิดประตูต้อนรับการลงทุนจากสหรัฐและต่างชาติ ด้วยการยอมขายแรงงาน ยอมเหนื่อย ยอมเสียเหงื่อเพื่อแลกกับค่าแรงจิ๊บจ๊อย แต่มีข้อแม้ว่ารัฐบาลขอเอี่ยวด้วย คือขอร่วมลงทุน จะด้วยหุ้นลม หรือหุ้นจริงก็ว่ากันไป แต่ที่สำคัญเทคโนโลยีการผลิตต้องกางออกมาบโต๊ะเพื่อแบ่งปันให้่คนจีนได้เรียนรู้ เมื่อบริษัทต่างชาติมีผลประกอบการที่ได้กำไร ก็ช่วยขึ้นค่าแรงด้วย คนจีนจะได้มีกำลังซื้อเพ่ิมขึ้น ซึ่งจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจภายใน หรือสร้างชนชั้นกลางจากเดิมทีที่มีแต่ชนชั้ชาวนากรรมกร หรือพนักงานรัฐเป็นหลัก เพราะว่าธุรกิจจีนยังถูกห้ามในระบบสังคมนิยม
เติ้งเป็นผู้ที่ปรับเปลี่ยนระบบจีนจากระบบสังคมนิยมที่เคร่งครัดให้มีการผสมผสานกันระหว่างสังคมนิยมกับทุนนิยมให้อยู่ร่วมกัน เปิดทางให้จีนในเวลาต่อว่ามีการอนุญาตให้ประชาชนสามารถประกอบธุรกิจได้โดยรัฐบาลเป็นผู้นำหรือวางแนวทางนโยบาย ปัจจุบันแม้ว่ารัฐบาลยังคงเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ รวมท้ังธนาคาร แต่ธุรกิจเอกชนมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีสัดส่วนมากกว่า 50%ของจีดีพีจีนแล้ว
ถึงแม้ว่าจีนจะมีพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ แต่คำว่าคอมมิวนิสต์ใช้กับจีน หรือแม้แต่รัสเซียไม่ได้ เพราะว่าขั้นตอนไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ที่ไม่มีชนชั้น ปัจจัยการผลิตทุกอย่าง รวมท้ังที่ดินทำกินเป็นของส่วนรวม มีการผลิตที่เหลือเกินพอ ประชาชนกินดีอยู่ดีตามสังอมอุดมคติ ส่วนในระบบสังคมนิยม ประชาชนยังมีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินทำกิน
จากการที่บริษัทต่างชาติยอมเปิดเผยเทคโนโลยีการผลิตให้จีน เพราะว่ามันคุ้มที่จะลงทุนในจีน เพราะถ้าไม่ลงทุนในจีน จะไม่มีความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทอื่นๆที่ลงทุนในจีนได้ ผลก็คือจีนกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมได้ทุกอย่าง มีระบบซับไพลเชนที่สลับซับซ้อนที่ใหญ่ที่สุด ทำให้มีรายได้เงินตราต่างประเทศเข้ามามากจน ณ เวลาหนึ่งจีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$4ล้านล้าน ขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ$3.1ล้านล้าน
จีนเป็นคนหัวไว รีบก๊อปปี้เทคโนโลยีแล้วทำของเลียนแบบออกมาขาย ของเหมือนกันคุณภาพเหมือนกันกับแบรนด์ฝรั่งหรือญี่ปุ่น แต่ขายในราคาที่ถูกกว่าหลายเท่า พร้อมกันนั้นจีนส่งนักศึกษาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเมืองนอกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อกลับมาฟื้นฟูประเทศทำให้จีนก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เพราะจีนรู้ดีว่า ถ้าไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองจะไม่มีวันพัฒนาประเทศได้ จะคอยพึ่งพายืมจมูกคนอื่นหายใจตลอดไปไม่ได้
น่าสังเกตุว่าประเทศไทยไม่ทำอย่างนี้จึงไม่เจริญ ยังไม่มีเทคโนโลยีของตัวเอง
จีนตั้งหน้าตั้งตาโกยเงินอย่างเดียวผ่านการผลิตการส่งออกและการค้า เพื่อดันจีดีพีให้เติบโต จนจีดีพีจีนโตใน%สองหลัก จีดีพีที่โตสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศ สร้างงาน สร้างการลงทุนใหม่ๆทำให้รัฐบาลมีเงินเหลือในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนหนทาง ระบบโทรคมนาคม พลังงาน รวมท้ังรถไฟความเร็วสูง และระบบรางที่ครอบคลุมทั้งประเทศ
รัฐบาลท้องถิ่นได้รับนโยบายจากปักก่ิงให้ทำอย่างไรก็ได้ให้ดันจีดีพีให้สูงเข้าไป กระตุ้นให้ให้เกิดการแข่งขันระหว่างมณฑลต่างๆให้แข่งกันดันการเติบโตของจีดีพี เพราะว่าจีนต้องการวิ่งไล่กวดให้ทันประเทศอื่นในเรื่องการยกระดับการเป็นอยู่ของคนจีน ผ่านการเพิ่มรายได้ ในขณะเดียวกันธุรกิจจีนเริ่มมีการเติบโตเคียงคู่กับธุรกิจของต่างชาติในจีน การผสมผสานกันทางเทคโนโลยี่ทำให้จีนพัฒนาระบบการผลิตอุตสาหกรรมที่ทันสมัย และสามารถขายของได้ถูกและมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้นจนแบรนด์จีนไม่รองใครในเวลานี้ ไม่เหมือนในตอนต้นที่สินค้าจีน Made in Chinaถูกดูถูกว่าเป็นกระป๋องราคาถูกจริง แต่เสียง่าย ด้อยคุณภาพ
ตลอดระยะเวลา30ปีที่ผ่านมา รายได้ที่แท้จริงของคนจีนเมื่อหักเงินเฟ้อไปแล้วเพิ่ม4เท่าตัว ในขณะที่สหรัฐแรงงานรายได้แทบไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อหักเงินเฟ้อ ทำให้สี จิ้นผิงประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่าจีนสามารถเอาชนะสงครามความยากจนได้แล้ว คนจนจีน800ล้านคนหลุดจากระดับความยากจนภายในระยะเวลา30-40ปีของการเปลี่ยนแปลง โดยผสมผสานทุนนิยมกับสังคมนิยมแบบจีนๆจนจีนกลายเป็นมหาอำนาจเบอร์2ของโลกในเวลานี้ ในบทต่อไปเราจะดูว่าจีนใช้ระบบลักกะปิดลักกะเปิดอย่างไรในการดำเนินนโยบายทุกอย่างเพื่อคุมเกม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหยวน ระบบการเงิน อินเทอร์เน็ต โซเซียลมีเดีย เพื่อรักษาความมั่นคง และคุมเกมให้อยู่ 2/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/368909677937023
5. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร? จีนอยู่ภายใต้ระบบสังคมนิยมที่ค่อนข้างจะเข้มงวดภายใต้เหมา เจ๋อตุงและบอบช้ำมามากจากวิกฤติทั้งภายในและภายนอกที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่สงครามฝิ่นที่รบพุ่งกับอังกฤษ ทำให้เกิดความยากจนแร้นแค้น เงินเฟ้อสูง มีความอดอยากไปทั่ว แม้เหมาจะมีอำนาจเด็ดขาดแต่ยังมีการต่อสู้เพื่อแย่งอำนาจกันภายในอันนำไปสู่การปฎิวัติวัฒนธรรมในแง่หนึ่งเพื่ออำพรางการกำจัดฝ่ายตรงข้าม แต่ก็มีการทำลายวัฒนธรรมประเพณีเดิม รวมท้ังศาสนาทำให้จีนเข้าสู่ความตกต่ำที่สุด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19ถอยหลังไปเศรษฐกิจจีนเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก จีดีพีของจีนและอินเดียรวมกันมีขนาด60%ของโลก
ทั้งรัสเซียและจีนเป็นเป้าใหญ่ของการถูกทำลายจากขบวนการปฎิวัติโลก (World Revolution) ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างคาร์ล มาร์กซ (คศ 1818-1883) ชาวยิวเยอรมันเพื่อให้เขียนลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นปฏิปักษ์กับลัทธิเสรีนิยม (Liberalism/Democracy) โดยที่ผู้ที่กำหนดเกมอยู่เบื้องหลังทั้งลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตย มาร์กซ์มาในสายของวัตถุนิยม (materialism) ของอังกฤษที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับจิตนิยม (rationalism)ของทวีปยุโรป
พวกวัตุนิยมไม่เชื่อในเรื่องจิตวิญญาน ชีวิตนี้มีชีวิตเดียวตายแล้วตายเลย จิตไม่มีจริง ถ้าจิตมีจริงจิต มันเป็นเพียงการแสดงออกของร่างกาย มีเพียงแต่วัตถุเท่านั้นที่จับต้องได้ที่เป็นจริง ส่วนพวกจิตนิยมทางฝั่งยุโรปเชื่อว่าจิตมีจริง และมีมาก่อนร่างกาย มิเช่นนั้นเราจะไม่มีเหตุผล มีความคิดความอ่านหรือมีความรู้เดิมได้
จากพื้นฐานวัตถุนิยมนี้ มาร์กซขโมยความคิดของGeorg Wilhelm Friedrich Hegel (คศ 1770-1831) ซึ่งเป็นนักปรัชญาเยอรมันนีสายจิตนิยม ผู้พัฒนาแนวความคิดวิภาษวิธีของพวกรีกเพื่อประยุกต์กับประวัติศาสตร์ โดยเฮเกลมองว่าประวัติศาสตร์มีพัฒนาการในรูปแบบของThesis- Antithesis – Synthesis โดยสังคมดั้งเดิม (thesis)จะถูกแนวความคิดใหม่หรือวิทยาการใหม่ (anti-thesis)เข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือทำลาย อันนำไปสู่สังคมใหม่ (synthesis) สังคมใหม่ (thesis 1)จะกลายเป็นสังคมเก่าเมื่อถูกความคิด วิทยาการหรือปัจจัยใหม่(antithesis 2) เข้ามาทำลายเพื่อให้เกิดสังคมใหม่ (synthesis 2) ขบวนการวิภาษวิธีทางประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งมีจิต (Spirit)ที่เปรียบเหมือนพลังที่มองไม่เห็นนำพาท้ายที่สุดจะนำไปสู่สังคมที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนมนุษย์สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าได้ในสังคมอุดมคติ
มาร์กซเอาแนวคิดของเฮเกลเพื่อเขียนลัทธิคอมมิวนิสต์สายวัตถุนิยมเพื่อต่อต้านระบบนายทุน และสร้างชนชั้นแรงงานให้เป็นฮีโร่แทนระบบนายทุนระบบขุนนางระบบกษัตริย์ ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ปัจจัยในการผลิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน เครื่องจักรอุปกรณ์ ที่ดินทำกินแทนที่จะอยู่ในมือนายทุนหรือขุนนางที่แสวงหาผลกำไรเพื่อตัวเองควรจะอยู่ในมือของรัฐของชนชั้นกรรมาชีพ แต่ชนชั้นกรรมาชีพจะไม่มีทางมีชีวิตที่ดีขึ้นถ้าไม่ลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติเพื่อทำลายโครงสร้างเก่า อันจะนำไปสู่สังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ หรือสังคมอุดมคติที่ไร้ชนชั้น ทุกคนกินดีอยู่ดี เพราะว่าระบบการผลิตมีประสิทธิภาพขึ้นไปเรื่อยๆจนสามารถผลิตได้เกินพอกับความต้องการของทุกคนในสังคม
ความคิดของมาร์กซ์ถูกนำไปปล่อยในประเทศต่างๆทั่วโลก เพื่อจุดกระแสการปฏิวัติเพื่อทำลายโครงสร้างเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบกษัตริย์ที่เข้มแข็งมาแต่โบราณ เมื่อโครงสร้างเก่าถูกทำลาย ก็จะเป็นการง่ายสำหรับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติโลกจะเข้าไปครอบงำทีหลัง รัสเซียตกเป็นเป้าหลักของการถูกทำลายจากลัทธิบอลเชวิคของมาร์กซ-เลนินอันนำไปสู่การโค่นล้มพระเจ้าซาร์ และลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ถูกส่งเข้าจีน อันนำไปสู่การตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1921 พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ครองอำนาจในจีนปัจจุบันเพิ่งฉลองครบรอบ100ปีเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าidea หรืิอความคิดมีพลัง หรือมีฤทธิ์มากกว่าอาวุธ แนวความคิดของมาร์กซ์ทำให้หลงใหล เกิดการปฏิวัติสังคมนิยมทั่วโลกเพื่อล้มระบบเดิม ปัญหาของการปฏิวัติที่ยากลำบากและต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อทรัพย์สินไปมากมายคือหลังจากปฏิวัติแล้ว จะบริหารประเทศอย่างไรต่อไป เมื่อรากเหง้าถูกทำลาย หรือโครงสร้างเดิมพังทะลายจะเริ่มใหม่อย่างไร ผู้ที่เข้ามามีอำนาจจะทำเพื่อประชาชนตามคัมภีร์ หรือว่าทำเพื่อตัวเองและพวกพ้อง ผู้มีอำนาจมีความสามารถในการบริหารจัดการหรือไม่ ประเทศไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว จะพัวพันกับประเทศอื่นอย่างไร ถ้าไม่มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพท้ังด้านการเกษตรหรืออุตสาหกรรม หรือค้าขายที่รุ่งเรือง ไม่มีทางที่ประชาชนจะกินดีอยู่ดี ในขณะที่อิทธิพลมืดของต่างชาติคอยยุแยงตะแคงรั่วตลอดเพื่อฉกฉวยโอกาสในช่วงที่ฝุ่นตลบเพื่อเข้าไปครอบงำ
จีนอยู่ในสภาพที่ทุรนทุรายหลังการปฏิวัติของเหมา เพราะว่าโครงสร้างเดิมถูกทำลาย และประเทศบอบช้ำจากสงครามภายนอกและภายในมาตลอด เหมาเองเมินเฉยต่อการปฏิวัติวัฒนธรรมที่เปรียบเหมือนเป็นดาบ2เนื่องจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายใน จีนจึงกลายเป็นสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่าคนป่วยของเอเชีย sick man of Asia ระบบการผลิตที่รัฐบาลควบคุมไม่มีประสิทธิภาพ การพัวพันกับต่างประเทศมีน้อย อย่างไรก็ดี ยุคของเหมาเริ่มมีการส่งนักเรียนจีนไปเรียนรู้วิทยาการเอาดีกรีมาจากเมืองนอกเพื่อพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เริ่มมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปฏิรูปการเกษตรเพื่อลดความอดอยาก การให้คนจีนเรียนหนังสือสูงขึ้น การเสริมความเข้มแข็งให้รัฐบาลท้องถิ่น อายุเฉลี่ยของคนจีนสูงขึ้นจาก40ปีเป็น60ปี
หลังจากเหมาเสียชีวิตลงในปี 1976 ความเกรงใจทุกอย่างสิ้นสุดลง เติ้ง เสียวผิงขึ้นมามีอำนาจ และกวาดล้างพวกซ้ายจัดหรือแก็งออฟโฟร์และเปลี่ยนนโยบายการบริหารประเทศ โดยมีการผสมผสานลัทธิทุนนิยมกับลัทธิสังคมนิยม และเปิดประเทศ คนจีนเป็นคนที่เน้นผลลัพธ์ทางปฏิบัติ (pragmatic) ทฤษฎีก็ว่ากันไป แต่อะไรที่ไม่เวิร์คก็พร้อมที่จะยกเลิก ในยุคเหมา เศรษฐกิจจีนแทบที่จะไม่พัวพันกับต่างประเทศ และดำเนินตามแนวทางสังคมนิยมที่เข้มงวด บริษัทหรือธุรกิจเอกชนที่เป็นทางการไม่มี
การเปิดประเทศของจีนเกิดขึ้นได้จากความริเริ่มของเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ในปี 1972ที่สหรัฐมาเคาะประตูกำแพงเมืองจีนเพื่อเปิดสัมพันธไมตรีกับเหมา หลังจากสหรัฐยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำของBretton Woods หนึ่งปีก่อนหน้านั้น อันนำไปสู่การเปิดสัมพันธไมตรีทางการทูตอย่างเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐกับจีนในปี 1979สมัยประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ความสัมพันธไมตรีนี้เปิดทางให้บริษัทอเมริกันเข้าไปลงทุนในจีนในสมัยของเติ้ง เสียวผิง และสร้างจีนให้กลายเป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เติ้งถึงกับบอกว่า แมวจะสีอะไรก็ตามขอให้จับหนูได้ก็แล้วกัน หมายความว่าจีนจะไม่ยึดติดกับทฤษฎีสังคมนิยม หรือตำรามากเกินไปจนกระดิกหรือทำอะไรไม่ได้ การเปิดทางให้บริษัทอเมริกันเอาเงินทุน เทคโนโลยีการผลิต และวิธีการบริหารจัดการสมัยใหม่ของโลกทุนนิยมจะเป็นการช่วยให้จีนพัฒนาต่อไป
ในขณะที่คิสซิงเจอร์ต้องการสร้างจีนให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อรองรับการย้ายฐานผลิตของบริษัทอเมริกัน เพื่อว่า1. บริษัทอเมริกันจะได้กำไรงาม เพราะแรงงานจีนถูก ผลิตของออกมาได้แล้วส่งกลับตลาดสหรัฐ ยุโรปหรือทั่วโลก 2. จีนได้ดอลล่าร์มาแล้ว จะรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปยังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทำให้สหรัฐสามารถสร้างดีมานด์เทียมเพื่อใช้จ่ายเกินตัวต่อไป 3. เป็นการเสี้ยมให้รัสเซียกับจีนไม่ให้จับมือกันจนอาจจะเป็นภัยต่อสหรัฐในวันข้างหน้า 4. จีนเป็นผู้ผลิต แต่สหรัฐควบคุมระบบการเงิน จะใช้สงครามการเงินทำลายจีนเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเมื่อถึงจุดหนึ่งที่จีนพัฒนาแล้ว จะส่งออกลัทธิประชาธิปไตยที่หอมหวานให้คนจีนรุ่นใหม่ได้เสพ จีนจะได้เข้าสู่การปฏิวัติประชาธิปไตย อันจะนำไปสู่ความวุ่นว่าย ง่ายต่อการแทรกแซง การดันจีดีพีจีนให้โตมากจะสร้างความคาดหวังให้คนจีนสูง เมื่อจีนสะดุด หรือถูกทำลาย รัฐบาลจีนจะเอาคนจีนเป็นพันล้านคนไม่อยู่ อันจะนำไปสู่การล่มสลายของจีนอีกรอบ หรือการที่มณฑลต่างๆแตกแยกออกเป็นรัฐอิสระ เพื่อเป็นการง่ายต่อการครอบงำจีนต่อไป แผนการนี้สหรัฐทำสำเร็จกับสหภาพโซเวียตที่ล่มสลายในปี 1991 และคาดว่าจะทำสำเร็จกับจีนในเวลาต่อไป
คำถามคือจีนรู้จุดประสงค์เบื้องลึกของสหรัฐหรือไม่ ที่เอาเงินทุนมาลง เอาเทคโนโลยีมาให้ เอาวิธีการบริหารจัดการสมัยใหม่มาสอน แล้วท้ายที่สุดจะหาทางทำลายจีนที่เป็นประเทศใหญ่ มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน มีการแตกแยกภายในอยู่แล้ว และมีประชากรมาก โดยจะทำลายทางการเงิน ทางลัทธิประชาธิปไตย หรือก่อสงครามก็ได้ เพราะว่าแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐเหนือกว่าจีนอย่างเทียบไม่ได้
คำตอบคือจีนรู้ แต่ต้องยอมเล่นตามเกมไปก่อน ยอมขายแรงงานถูกเพื่อแลกกับเงินตราต่างประเทศและเทคโนโลยีการผลิต เมื่อตั้งตัวได้ แล้วค่อยว่ากันอีกที ปัญหาเฉพาะหน้าคือทำอย่างไรให้คนจีนกินดีอยู่ดีไม่ใช่มัวลอกตำราจนขับอะไรไม่ออก เติ้งไม่เดินตามข้อผิดพลาดของสหภาพโซเวียตที่ไม่มีการพัวพันทางเศรษฐกิจกับเศรษฐกิจของโลก โซเวียตและค่ายสังคมนิยมยุโรปตะวันออกที่อยู่ใต้อานัติล่มสลายเพระว่าใช้ระบบปิด เมื่อเศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ หรือประชาชนไม่ได้กินดีอยู่ดี ระบอบอะไรก็อยู่ไม่ได้ นั้นคือจุดหัวเลี่้ยวหัวต่อที่ทำให้จีนผงาดมาถึงทุกวันนี้จนกลายเป็นมหาอำนาจโลกเบอร์2ด้านเศรษฐกิจ อันจะอธิบายเพิ่มเติมในบทต่อไปว่าจีนเล่นเกมกับทุนอเมริกันอย่างไร มีมาตรการปกป้องตัวเองและเสิรมความเข้มแข็งภายในอย่างไร ไม่นับเงินตราต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามามหาศาลจนทำให้จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกในเวลานี้ 2/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/368821217945869
4. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
หลังจากการล่มสลายของระบบBretton Woods และระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ในปี 1971 ดอลล่าร์มีอนาคตที่มืดมน เนื่องจากไม่ได้อิงกับทองคำอีกต่อไป ทองคำสำรองของสหรัฐลดลงเหลือ8,000กว่าตัน หรืออาจจะไม่เหลืออยู่เลยก็เป็นไปได้ เพราะว่ามีมือดี ซึ่งอาจจะเป็นเจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย007แอบจิ๊กเอาไปก็ได้ ดอลล่าร์กลายเป็นเงินกงเต๊กหรือที่พิมพ์ออกมากลางอากาศในอัตราที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลังเพื่อไฟแนนซ์งบประมาณที่ขาดดุลท้ังจาภาระของโครงการสวัสดิการสังคมต่างๆ รวมท้ังสงครามเวียดนาม ทำให้ประเทศในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมันนีและฝรั่งเศสไม่มีความมั่นใจที่จะถือดอลล่าร์อีกต่อไป ภาระจึงตกอยู่บนบ่าของเฮ็นรี่ คิสซิงเจอร์ที่จะหาทางสร้างดีมานด์ดอลล่าร์เทียมเพื่อให้ดอลล่าร์รักษาสถานภาพเป็นเงินสกุลหลักโลกต่อไป ในระบบBretton Woods ที่ดอลล่าร์อิงกับทองคำ สหรัฐเป็นเจ้ามือเศรษฐกิจโลก เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด และเป็นประเทศที่กำลังเจริญก้าวหน้าในทุกด้านนำหน้าประเทศอื่นๆ สามารถสร้างดอลล่าร์เทียมหลอกให้ประเทศต่างๆใช้เป็นเวลานาน25ปี เพราะว่าดอลล่าร์ดีพอๆกับทองคำ (Dollar is as good as gold) คิสซิงเจอร์วางแผนใช้น้ำมันหนุนหลังดอลล่าร์แทน แม้ว่าสหรัฐจะมีน้ำมันมาก แต่ยังไม่ต้องการขุด เก็บไว้เป็นพลังงานสำรองสำหรับอนาคต ให้แขกซาอุและตะวันออกกลางขุดไปก่อน โดยดอลล่าร์จะใช้บ่อน้ำมันของซาอุและตะวันออกกลางช่วยหนุนดอลล่าร์ ประธานาธิบดีนิกสันและคิสซิงเจอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสภาความมั่นคงในขณะนั้นเดินทางไปเยือนซาอุฯในปี 1973เพื่อมีการพูดคุยกับกษัตริย์ไฟซาลของซาอุฯ ในช่วงนั้นซาอุฯและกลุ่มประเทศโอเปคดำเนินนโยบายแซงชั่นสหรัฐและยุโรป ด้วยการไม่ขายน้ำมันให้ เพราะว่าไปหนุนอิสราเอลในสงครามในตะวันออกกลาง คิสซิงเจอร์ต้องการแก้ปัญหาการแซงชั่นน้ำมัน ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับ และต้องการต่ออายุดอลล่าร์กงเต๊ก ด้วยการยื่นข้อเสนอที่ซาอุฯมิอาจปฏิเสธได้คือ 1. ซาอุฯขายน้ำมันโดยเอาดอลล่าร์เพียงสกุลเดียว เงินสกุลอื่นไม่รับ 2. สหรัฐจะขายอาวุธสงครามให้ซาอุฯ และปกป้องความมั่นคงของราชวงศ์ซาอุจากภัยของสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะการันตีว่าอิสราเอลจะไม่โจมตีซาอุฯ 3. เมื่อซาอุฯขายน้ำมันได้ดอลล่าร์แล้ว ให้เอาดอลล่าร์นั้นรีไซเกิ้ลกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อกินดอกเบี้ย ฟังดูแล้วก็ดี ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย กษัตริย์ไฟซาลยอมรับได้ แต่นายJim Rickards ซีไอเอทางการเงินของสหรัฐออกมาเปิดเผยภายหลังว่า เขาอยู่ในทีมที่แอบเดินทางไปเจรจากับซาอุฯ โดยมีเงื่อนไขไม้ตายว่า ถ้าซาอุฯไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ สหรัฐจะส่งกองกำลังทหารเข้าไปบุกยึดบ่อน้ำมันของซาอุฯ
เปโตรดอลล่าร์จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1973ในขณะที่วิกฤติการน้ำมัน และเงินเฟ้อกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ต่อมาในปี 1975ประเทศในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันของโอเปคก็ตกลงที่จะขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์อย่างเดียว ทำให้เกิดวลีที่ว่าแลกดอลล่าร์กับน้ำมัน (dollar for oil)
เปโตรดอลล่าร์ปลุกชีพให้ดอลล่าร์ฟื้นขึ้นมาจากกองเถ้าถ่านอีกคร้ังหลังจากระบบBretton Woodsล่มสลาย เพราะว่าเปโตรดอลล่าร์สร้างมานด์เทียมของดอลล่าร์ขึ้นมา ทุกๆประเทศต้องซื้อน้ำมันต้องบริโภคน้ำมัน เพื่อใช้น้ำมันในการพัฒนาเศรษฐกิจ เมื่อต้องซื้อน้ำมันจึงจำเป็นต้องขายสินค้าหรือบริการเพื่อให้ได้ดอลล่าร์ แล้วเอาดอลล่าร์นั้นไปซื้อน้ำมันของซาอุฯและโอเปค ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อให้มั่นใจว่ามีดอลล่าร์เพียงพอ ก็ต้องตุนดอลล่าร์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ วิธีการนี้เพื่อที่จะกีดกันประเทศต่างๆไม่ให้ไปสะสมทองคำในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ แม้ว่าราคาทองคำจะพุ่งจาก$35ต่อออนซ์เป็น$42ต่อออนซ์ในปี 1973 และมีแนวโน้มจะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆจากการพิมพ์เงินของสหรัฐและเงินเฟ้อ หรือความไม่มั่นใจในระบบการเงิน เนื่องจากสหรัฐมีแสนยานุภาพทางทหารที่ไร้เทียมทานจึงอยู่ในฐานะที่จะแบล็คเมล์ประเทศผู้ผลิตน้ำมันให้สนับสนุนระบบเปโตรดอลล่าร์ โดยสหรัฐแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นอกจากจะเอาบ่อน้ำมันของซาอุฯและโอเปคมาหนุนดอลล่าร์แล้ว สหรัฐยังสามารถขายอาวุธให้ประเทศเหล่านี้ได้อีกด้วย ปั๊มน้ำมันขึ้นมามากเท่าใด ก็ต้องเอาเงินมาซื้ออาวุธสหรัฐ และพันธบัตรสหรัฐ สหรัฐเป็นเจ้ามือเล่นไพ่แจกทุกฝ่าย อิสราเอลก็ได้รับการหนุนหลัง ประเทศอาหรับก็ได้รับการหนุนหลังทั้งๆที่ทั้ง2ฝ่ายเป็นศัตรูกัน สหรัฐส่งทหารไปประจำการที่ฐานทัพในบาห์เรน อิรัค คูเวต โอมาน กาต้าร์ ซาอุฯ ยูเออี อิยิปต์ อิสราเอล จอร์แดน เยเมนเพื่อการันตีความมั่นคงของภูมิภาค หรือจะเสี้ยมให้แตกแยกเพื่อต้องพึ่งพาการคุ้มครองของกองทัพสหรัฐ คงจำกันได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์คุยโวว่า ถ้ากองทัพสหรัฐไม่สนับสนุนซาอุฯ ราชวงศ์ซาอุฯคงจะอยู่ในอำนาจได้ไม่เกิน2สัปดาห์ ทรัมป์บีบซาอุฯให้ซื้ออาวุธจากบริษัทผู้ผลิตอาวุธของสหรัฐเป็นข้อตกลงหลายปีจนซาอุฯหน้าเขียว หลังจากที่เปโตรดอลล่าร์เกิดขึ้นมาแล้ว สหรัฐพบว่าเปโตรดอลล่าร์ดีกว่าระบบBretton Woodsที่ใช้ทองคำหนุนหลังดอลล่าร์มาก เพราะว่าในระบบเปโตรดอลล่าร์สหรัฐไม่ต้องสนใจว่าจะต้องสำรองทองคำแค่ไหน เพราะว่ามีบ่อน้ำมันตะวันออกกลางช่วยหนุนแทน สหรัฐจะพิมพ์ดอลล่าร์สร้างหนี้เพื่อใช้จ่ายเกินตัวได้ต่อไปโดยไม่สะดุด หนี้ที่สร้างมาประเทศผู้ผลิตน้ำมันพร้อมเอาดอลล่าร์มาไฟแนนซ์ ที่สำคัญประเทศต่างๆทั่วโลกตกอยู่ใต้กับดักเปโตรดอลล่าร์เหมือนกัน ต้องชิงกันแย่งส่วนแบ่งการตลาดเพื่อขายของถูกในสหรัฐเพื่อเอาดอลล่าร์มาสำรองเพื่อซื้อน้ำมัน หรือซื้อสินค้าอื่นๆที่ต้องใช้ดอลล่าร์ในการทำธุรกรรมทางการเงินท้ังนั้น สหรัฐน้ำเข้าสินค้าได้ในราคาถูกจากประเทศผู้ส่งออกที่หิวดอลล่าร์ ทำให้ช่วยประคับประคองเงินเฟ้อของสหรัฐ คุณภาพชีวิตคนอเมริกันดีกว่าประเทศอื่นๆจากการที่สหรัฐสามารถสร้างดีมานด์เทียมจากเปโตรดอลล่าร์ หลังจากสร้างดีมานด์เทียมจากเปโตรดอลล่าร์แล้ว เป้าหมายต่อไปของคิสซิงเจอร์ที่มองกาลไกลถึง30ปี50ปี โดยสหรัฐจะสร้างจีนให้เกิดใหม่เพื่อให้จีนพัฒนาเศรษฐกิจ แล้วขายสินค้าเพื่อให้ได้ดอลล่าร์ แล้วจีนจะต้องเอาดอลล่าร์นั้นกลับมารีไซเกิ้ลซื้อพันธบัตรสหรัฐ เพื่อเป็นการสร้างดอลล่าร์เทียมอีกต่อหนึ่งจากเปโตรดอลล่าร์ เพื่อให้สหรัฐสามารถต่ออายุดอลล่าร์กงเต๊กและใช้จ่ายเงินเกินตัวต่อไป จีนเหมือนกับกลุ่มประเทศโอเปคไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐ แต่กว่าจะขยับได้จีนต้องคอยให้ประธานเหมาเสียชีวิตไปก่อนเหมาตายในปี 1975 และพวกแก็งค์4สหายที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนและกวาดล้างอำนาจทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม รวมท้ังเติ้ง เสียวผิงที่ถูกเช็คบิลในขณะที่เหมาทำเมินเหมือนไม่เห็น ขั้วอำนาจใหม่ทำลายแก็งค์4สหาย ซึ่งมีผู้นำที่สำคัญของแก๊งคือ เจียง ชิง(ภรรยาคนสุดท้ายของประธานเหมา เจ๋อตุง) สมาชิกอีกสามคนคือ จาง ชุนเฉียว เหยา เหวินหยวน และ หวัง หงเหวิน แล้วเชิญเติ้ง เสี่ยวผิงขึ้นมามีอำนาจ ในปี 1979เติ้งดำเนินนโยบายใหม่เปิดประเทศเต็มที่ หลังจากประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์สานงานต่อจากคิสซิงเจอร์ด้วยการเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนเต็มรูปแบบ มีการแลกเปลี่ยนทูตประจำประเทศกัน และสหรัฐ ซึ่งเคยหนุนเจียง ไคเช็ค หรือไต้หวันมาตลอดหักหลังไต้หวันหันมาสนับสนุนจีนแทน โดยยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนในเงื่อนไขของการสร้างสัมพันธไมตรีทางการทูต
เติ้งเอาระบบทุนนิยมมาผสมผสานกับสังคมนิยม รับเงินลงทุนจากต่างชาติที่สร้างจีนให้เป็นโรงงานโลก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจโลกทางเศรษฐกิจในเวลานี้ อันจะได้อธิบายในตอนต่อไป 1/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/368375581323766
3.สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
ทำไมเฮ็็นรี่ คิสซิงเจอร์จึงดำเนินนโยบายยุทธศาสตร์ที่ช็อคโลกด้วยการเคาะประตูกำแพงเมืองจีนเพื่อปูทางการสร้างสัมพันธไมตรีด้านการทูตระหว่างสหรัฐและจีน และเปิดทางให้บริษัทอเมริกันและบริษัทข้ามชาติย้ายฐานผลิตมาจีนเพื่อสร้างให้จีนเป็นโรงงานของโลก? คิสซิงเจอร์เป็นยิวเยอรมัน-อเมริกันเดินทางมาอยู่สหรัฐต้องแต่เด็กวันรุ่น โดยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักประโยคเดียว แต่สามารถเข้าไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และสอนหนังสือที่นั่นได้ ก่อนที่เข้าสู่แวดวงทางการเมือง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสภาความมั่งคง และรมว ต่างประเทศของสหรัฐสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด เขามีบทบาทในการเจรจายุติสงครามเวียดนาม และได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ และเป็นผู้ที่สร้างเปโตรดอลล่าร์ โดยให้ซาอุฯและประเทศผู้ผลิตน้ำมันขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์อย่างเดียวเพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องส่งทหารอเมริกันเข้าไปยึดบ่อน้ำมันดื้อๆ
แต่ผลงานที่สุดยอดที่สุดของคิสซิงเจอร์คือการเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนในยุคสงครามเย็น เพื่อ 1. ลดความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในทวีปเอเชีญ จะได้โฟกัสไปที่การทำลายรัสเซีย 2. ปูทางให้บริษัทอเมริกันและบริษัทข้ามชาติเข้าไปลงทุนในจีนเพื่อสร้างผลกำไรในการส่งออกกลับมายังตลาดสหรัฐ ยุโรป และทั่วโลกเพราะว่าจีนมีแรงงานถูก นอกจากนี้จีนมีประชากรมากต่อไปมีโอกาสเป็นตลอดของบริษัทอเมริกันและบริษัทข้ามชาติ 3. รักษาสถานภาพของดอลล่าร์โดยให้จีนเป็นที่รองรับของดอลล่าร์กงเต๊กที่ทำหน้าที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก ที่ให้โอกาสสหรัฐพิมพ์เงินใช้เกินตัวเป็นว่าเล่น เพื่อแทบที่จะไม่มีเพดาน
คิสซิงเจอร์เป็นนักภูมิรัฐศาสตร์ที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เขาเป็นมือทำงานให้อิลิทโลก โดยมีอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีสหรัฐเสียอีก ปัจจุบันคิสซิงเจอร์ยังหนังเหนียวอายุ98ปีแล้ว
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2จบลง อังกฤษมีการเตรียมการให้สหรัฐเป็นมหาอำนาจของโลกแทนตัวเอง เพราะอังกฤษรู้ดีว่าไม่มีศักยภาพที่จะรักษาจักรวรรดิอังกฤษ และอิทธิพลของเงินปอนด์ในรูปแบบเดิมที่ดำเนินมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 คนส่วนมากเชื่อว่าอังกฤษเป็นลูกไล่ของสหรัฐ แต่ความจริงน่าจะเป็นเรื่องตรงกันข้าม วอลล์สตรีทมีอำนาจเหนือทำเนียบขาว และสภาคอนเกรซ ซิตี้ออฟลอนดอนเป็นผู้สร้างวอลล์สนตรีท ด้วยเหตุนี้ลอนดอนจึงน่าที่จะคุมสหรัฐอยู่ผ่านหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ รวมท้ังนักการเมือง บุคคลทำคัญที่ทำงานให้อังกฤษมากกว่าทำงานให้ประเทศชาติตัวเอง
ซิตี้ออฟลอนดอนมีการขนทองคำที่ได้จากการล่าอาณานิคม การยืม การรับฝากทองคำประเภทไม่รับทวงคืนจากประเทศต่างๆแล้วขนไปไว้ที่สหรัฐอเมริกาช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่ากับว่าอังกฤษรู้ดีว่ายุโรปจะเป็นสมรภูมิของสงครามโลก ไม่ปลอดภัยที่จะเก็บทองของตัวเอง และเครือข่ายในยุโรปหรือประเทศต่างๆ อเมริกาเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุด การเอาทองคำประมาณ20,000กว่าตัน หรือ2ใน3ของทองคำสำรองทั้งหมดของโลกไปกองที่หน้าตักของธนาคารกลางของสหรัฐ (US Federal Reserve) ก็เพื่อที่จะปั้นดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกแทนเงินปอนด์ของอังกฤษ เนื่องจากระบบการเงินโลกยังคงอิงมาตรฐานทองคำ ตอนนั้นทองคำมีราคา$35ต่อออนซ์ มีการประชุมBretton Woodsในปี1944 ทีรัฐนิวแฮมเชียร์ ประเทศสหรัฐระดับนานาชาติก่อนสงครามโลกปิดฉากในปี1945 โดยอังกฤษแสร้างทำเป็นคนจนล้มละลายจากสงครามกับฮิตเลอร์เป็นตั้งตั้งตัวตีเพื่อวางระบบการเงินโลกใหม่ โดยให้มีการสร้างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลกขึ้นมารองรับ โดยไอเอ็มเอฟจะดูแลเรื่องการดูแลระบบชำระเงิน และดุลชำระเงินของแต่ละประเทศโดยมีดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก และธนาคารโลกจะเน้นการปล่อยกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อฟื้นฟูประเทศต่างๆที่ประสบกับความหายนะของสงคราม องค์กรยูเอ็นเกิดขึ้นมาในบริบทเดียวกันเพื่อเป็นกรอบในการรองรับรัฐบาลโลกต่อไป (World Government)
ตามข้อตกลงBretton Woods สหรัฐและอังกฤษให้ประเทศต่างๆใช้ดอลล่าร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศแทนทองคำ เพราะว่าอเมริกามีทองคำกองสูงเท่าภูเขาทอง เมื่อประเทศต่างๆถือดอลล่าร์ ก็เหมือนกับถือทองคำ เพราะว่าดอลล่าร์มีทองคำหนุนหลัง จะเอาดอลล่าร์มาขึ้นทองคำเมื่อไหร่ก็ได้ เจ้ามือมีทองคำให้แลก ระบบอัตราแลกของโลกเป็นระบบคงที่ (fixed exchange rate system) มีความผันผวนน้อยมากไม่เหมือนปัจจุบันที่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัว (floating exchange rate system) ทำให้ค่าเงินแกว่งตัวไปมารายวันแบบน่าหวาดเสียว มีความผันผวนสูง
อังกฤษยอมเสียหน้าไปอยู่หลังฉาก แล้วทำการปฏิรูประบบจักรวรรดิ ที่ไม่สามารถจะรักษาให้ยั่งยืนต่อไปได้ แทนที่จะใช้ทหารไปยึดครองและส่งตัวแทน (Governor)ไปปกครองดินแดนอาณานิคมเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติ อังกฤษจะปล่อยให้่อาณานิคมได้รับอิสระภาพหรือเอกราช แล้วให้ประเทศเหล่านี้กลับมาเป็นสมาชิกของเครือจักรภพอังกฤษ (ฺBritish Common Wealth)แทน เท่ากับว่าอังกฤษเปลี่ยนนโยบายการปกครองจากการแจกไม้เรียวเป็นการปกครองที่แจกแครอทแทน โดยปกครองอดีตประเทศอาณานิคมเหมือนไม่ต้องปกครอง เพราะว่าใช้การมีอิทธิพลเหนือความความเชื่อ การศึกษา ระบบกฎเกณฑ์ที่อังกฤษวางเอาไว้ รวมท้ังอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตย โดยให้สหรัฐเป็นเชียร์ลีดเดอร์แทน ปัจจุบันเครือคอมมอนเวลท์มีสมาชิก54ประเทศและมีประชากรรวมกัน2,400ล้านคน โดยมีควีนเป็นประมุขของคอมมอนเวลท์ ช่วงสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ อังกฤษมีความคิดจะแจกใบสมัครให้สหรัฐกรอก เพื่อเป็นสมาชิกของบริตทิส คอมมอนเวลท์ เพราะว่าสหรัฐเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เพิ่งจะได้รับเอกราชตั้งเป็นประเทศตั้งแต่ปี 1776เท่านั้น ดูเหมือนว่าทรัมป์จะไม่เล่นด้วย แม้จะถูกจับมือให้กรอกใบสมัคร เรื่องเงินๆทองๆไม่เข้าใครออกใคร เวลามีมากแล้วยังต้องการมีมากขึ้นไปเรื่อยๆไม่มีวันจบ รัฐบาลสหรัฐมือเติบ เริ่มใช้จ่ายเกินตัว มีงบประมาณขาดดุล เพราะไปก่อสงครามเวียดนามและใช้จ่ายด้านต่างๆ ประธานาธิบดีเคนาดี้ไม่เห็นด้วยกับสงครามเวียดนาม (1955-1975)จึงถูกส่องจนสมองกระจุย เมื่อขาดดุลมากขึ้น มีหนี้มากขึ้นความเชื่อมั่นในดอลล่าร์ลดลง มีหลายประเทศเริ่มไม่พอใจบทบาทของดอลล่าร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศส ที่มองว่าสหรัฐได้เปรียบประเทศอื่น หรือมีสิทธิพิเศษ (exorbitant privilege)เพราะว่ามีดอลล่าร์เป็นเงินรีเสิร์ฟของโลก สหรัฐไม่ต้องห่วงว่าจะพิมพ์เงินออกมาเท่าใดก็ได้เพื่อไฟแนนซ์การขาดดุล โดยไม่ต้องกลัวว่าดุลชำระเงินจะล้มละลายจากเงินทุนไหลออก เพราะว่าพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาทุกประเทศยอมรับหมด ส่วนประเทศอื่นๆกว่าจะหาทองคำ หรือดอลล่าร์มาใช้ได้ต้องขายทรัพยากรธรรมชาติ หรือออกแรงทำงานหนัก ทำให้สหรัฐพิมพ์เงินเกินสำรองทองคำของตัวเอง และประเทศนกรู้ แน่นอนต้องอังกฤษเจ้าเดียวรีบเอาดอลล่าร์ไปแลกทองคำเงียบๆ
ที่กระโตกกระตากกว่าใครคือฝรั่งเศส ในปี 1965 ประธานาธิบดีชาร์ลส เดอ โกลของฝรั่งเศสบอกว่า สหรัฐเล่นพิมพ์เงินดอลล่าร์ใช้จ่ายเกินตัวแบบนี้ ฝรั่งเศสขอแลกดอลล่าร์กับทองคำ ฝรั่งเศสส่งเรือรบข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อไปขนทองคำสหรัฐกลับมาฝรั่งเศสโดยเอาดอลล่าร์กระดาษไปแลก ผลก็คือทองคำสำรองของสหรัฐร่อยหรอลงมาอย่างรวดเร็ว จาก20,000กว่าตัวเหลือ8,000กว่าตัน จนกระทั่งมาถึงปี1971 สมัยของประธานาธิบดีนิกสัน สหรัฐทนไม่ไหว ประกาศยกเลิกการแลกดอลล่าร์เพื่อทองคำ เท่ากับว่าสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ และเป็นการปิดฉากระบบBretton Wood ตั้งแต่นั้นมาดอลล่าร์กลายเป็นกระดาษกงเต๊กที่ไม่มีทองคำหรือทรัพย์สินอะไรรองรับ ในขณะที่ประเทศต่างๆต้องสำรองทองคำ และต้องจำใจรับดอลล่าร์เป็นเงินทุนสำรองเพื่อหนุนเงินธนบัตรของตัวเอง ดอลล่าร์กระดาษจะคงอยู่อย่างนี้ได้ไม่นาน ถ้าไม่มีอะไรหนุนหลังเพื่อสร้างความมั่นใจ คิสซิงเจอร์จึงเตรียมการเอาบ่อน้ำมันซาอุและทั้งตะวันออกกลางมาการันตีดอลล่าร์ อันนำไปสู่การสร้างเปโตรดอลล่าร์ และการสร้างจีนให้เป็นลูกไล่ทางเศรษฐกิจ เหมือนกับที่ได้สร้างเยอรมันนีและญี่ปุ่นประเทศผู้แพ้สงครามโลกก่อนหน้านี้ เพื่อว่าจีนจะได้เป็นฐานผลิตของโรงงานบริษัทอเมริกัน ผลิตสินค้าออกมาเพื่อจำหน่ายให้ตลาดอเมริกันและตลาดทั่วโลก เมื่อจีนได้เงินดอลล่าร์จากการส่งออก จีนจะต้องเอาดอลล่าร์นั้นมาซื่้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือทรัพย์สินดอลล่าร์เพื่อไหแนนซ์การขาดดุลของสหรัฐ และใช้ดออล่าร์หนุนฐานะการเงิน หรือเงินหยวนของจีนที่ยังไม่มีเครดิตในเวทีการเงินระหว่างประเทศ คิสซิงเจอร์คุยอะไรกับกษัตริย์ซาอุและประธานเหมาเพื่อเซฟดอลล่าร์ โดยใช้บ่อน้ำมันตะวันออกกลางและจีนเป็นเครื่องมือจะเป็นเรื่องราวที่ต้องได้รับการอธิบายกันต่อไป 1/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/368314591329865
2. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สหรัฐมีบทบาทที่สำคัญที่สุดในการสร้างรัฐจีนใหม่ให้เข้มแข็งด้านเศรษฐกิจหลังเติ้ง เสี่ยวผิงเปิดประเทศจีนในปี 1978-1979 โดยวางแนวทางให้จีนเป็นผู้ผลิตและสหรัฐจะเป็นผู้ซื้อ สหรัฐจะลงทุนในจีน โดยบริษัทอเมริกันเอาเงินทุนพร้อมเทคโนโลยีการผลิต และระบบการบริหารจัดการมาสร้างฐานการผลิตในจีน เมื่อผลิตสินค้าเสร็จแล้ว จีนส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐ ทำให้บริษัทอเมริกันในจีนร่ำรวยมหาศาล ตลาดหุ้นขึ้นระเบิดเถิดเทิง เพราะว่าผลประกอบการของบริษัทอเมริกันมีกำไรดีมาก เนื่องจากแรงงานจีนถูกกว่าแรงงานสหรัฐไม่รู้กี่สิบเท่า บริษัทของยุโรปทนอยู่เฉยไม่ได้ต้องย้ายฐานผลิตมายังจีนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขั้น มิเช่นนั้นจะแข่งสู้สินค้าอเมริกันที่ผลิตในจีนไม่ได้
ไปๆมาๆ เศรษฐกิจจีน(จีดีพีจีน2021: $16.6ล้านล้าน)กำลังพัฒนาไปถึงขั้นที่มีแนวโน้มขนาดเศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐ (จีดีพีสหรัฐ 2021: $22.6ล้านล้าน) ในอีก10ปีข้างหน้า เพราะว่าจีนจะอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ5%-6%ต่อปี ในขณะที่สหรัฐจะโตช้ากว่าที่อัตรา2%-3%ต่อปี
เมื่อเศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่กว่า มาร์เก็ตแคปของตลาดเงินตลาดทุนจะใหญ่กว่าเป็นเงาตามตัว บทบาทของเงินหยวนจะโดดเด่นขึ้นโดยปริยาย ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาดอลล่าร์อีกต่อไป และการที่จีนมีโครงการเส้นทางสายไหมที่รวมตลาด3ทวีปคือเอเชีย ยุโรปและแอฟิรกาเข้าด้วยกันก็จะทำให้จีนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐในการส่งออกในอนาคตอีกต่อไป
พูดง่ายๆจีนเตรียมตัดหางลอยแพสหรัฐแล้วผ่านโครงการเส้นทางสายไหม สหรัฐจึงเต้นเหมือนเจ้าเข้าในเวลานี้
นอกจากจะเป็นผู้นำด้านการผลิต (manufacturing powerhouse) หรือคอนโทรลระบบโลจิสติกซ์ &ซับไพลเชนของโลกแล้ว สิ่งที่ทำให้สหรัฐค่อนข้างจะเกรงกลัวจีนคือ จีนจะมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดการทำให้เศรษฐกิจมีความทันสมัยในยุคดิจิตัลต่อไป ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง 5จี สมาร์ทโฟน ระบบชำระเงิน ระบบการเงิน ดิจิตัลหยวน รถยนต์ไฟฟ้า ไบโอเทค เซมิคอนดั๊กเตอร์ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ของจีนก้าวหน้าไม่แพ้ประเทศใดในโลก อันเห็นได้จากสามารถส่งยานอวกาศไปยังด้านมืดของดวงจันทร์ได้ ส่งนักบินอวกาศไปประจำสถานีอวกาศนอกโลก และส่งยานอวกาศไปดาวอังคารเป็นผลสำเร็จทำให้โลกต้องตะลึงจากภาพถ่ายบนดาวอังคารที่ทะยอยส่งกลับมายังโลก
ความเชื่อที่ว่าจีนยังล้าหลังสหรัฐด้านเทคโนโลยี หรือเก่งแต่ก็อปปี๊ คิดเองไม่เป็นน่าจะเป็นอคติที่มีมาในอดีต เพราะว่าอังกฤษ เยอรมันนี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศสสู้จีนไม่ได้ในเทคโนโลยีอวกาศ ที่สหรัฐและรัสเซียเป็นผู้นำตลอดมา
ถ้าจะว่าไปแล้ว จีนเปรียบเทียบเหมือนนักเรียนที่ขยันลอกการบ้านเพื่อน แม้จะมีปัญญาดี แต่ด้อยโอกาสหรือสภาพแวดล้อมไม่ดี จึงเรียนหนังสือตามเพื่อนไม่ทัน แต่พอลอกการบ้านเพื่อนจนถึงระดับหนึ่ง ที่ทำความเข้าใจด้วยตัวเองได้แล้ว จีนสามารถทำการบ้านเองโดยไม่ลอกเพื่อน และสามารถค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมได้จนเรียนเก่งกว่าเพื่อนที่เคยให้ลอกการบ้าน
สหรัฐสร้างจีนให้เจริญก้าวหน้าในยุคที่ก่อสงครามเย็นกับรัสเซีย แต่ในขณะนี้สหรัฐกลับหันมาก่อสงครามเย็นกับจีน เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียว (Unipolar World) ความจริงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับรัสเซียดำเนินมาเรื่อยๆหลังจากที่ปูตินสามารถปลดแอกรัสเซียจากอิทธิพลของวอลล์สตรีทและลอนดอนได้ ในสายตาของสหรัฐค่อนข้างจะดูถูกรัสเซีย ไม่ได้ให้ค่ารัสเซียมากกว่าจีน โจ ไบเดนพูดเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า รัสเซียไม่มีอะไรเลยนอกจากอาวุธนิวเคลียร์ และน้ำมัน
ในทางตรงกันข้ามจีนมีทุกอย่างที่สหรัฐมี ที่สำคัญจีนมีประชากร1,400ล้านคนที่เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นศักยภาพของความเป็นประเทศ เพราะว่าจีนสามารถระดมคน (mobilization of human resources)ให้ทำงานใหญ่ได้ทุกเรื่องให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างระบบราง การสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ วิศวะกร นักประดิษฐ์ นักวิจัย นักการผลิต นักธุรกิจฯลฯ เพราะว่ามีตัวเลือกเก่งๆมากมาย นอกจากนี้จีนยังมีแสนยานุภาพทางทหาร และมีอาวุธนิวเคลียร์พร้อมที่จะรับมือกับสหรัฐเกือบทุกด้าน
ในเกมมหาอำนาจโลก ประเด็นที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือใครจะเป็นผู้ที่เขียนกฎเกณฑ์ของระเบียบโลก (New World Order)ในวาระต่อไป เพราะว่าระบบโลกที่สร้างขึ้นมาต้องแต่หลังสงครามโลกคร้ังที่2ผ่านสถาบันหลักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ นาโต้ รวมท้ังดอลล่าร์ที่รับบทบาทเงินสกุลหลักของโลก ระบบการค้าโลก ระบบการเงินโลก ระบบธนาคาร ระบบข้อมูลธนาคาร (SWIFT) ระบบชำระเงิน กฎเกณฑ์ทางเทคโนโลยี องค์กรสถาบันระหว่างประเทศต่างๆกำลังจะหมดอายุขัย ทุกระบบที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไปจะเข้าสู่จุดเสื่อม หรือล่มสลายในที่สุดถ้าหากไม่มีการปรับปรุง แก้ไขพัฒนาหรือสร้างใหม่ ซึ่งวงจรนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ70ปีอยู่แล้ว
การสร้างระเบียบโลกใหม่ผ่านGlobal Resetผู้ที่ทำหน้าที่ทางสมองในการวางแนวทางคือWorld Economic Forum ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งในเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยวาระGlobal Resetจะครอบคลุมระเบียบโลกใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การธนาคาร บิ๊กเทค เศรษฐกิจ ดิจิตัล โลกร้อน กรีนเทคโนโลยีที่จะมาแทนระบบที่วางหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 โดยที่สหรัฐและอังกฤษ หรือพวกอิลิทในยุโรปจะยังคงเป็นผู้นำโลกอีกต่อไป เรียกว่าขอผูกขาดอำนาจโลกต่อไปเรื่อยๆว่างั้นเถอะ โควิดที่กำลังระบาดทั่วโลกในเวลานี้เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาของGlobal Resetให้ดำเนินไปตามตารางเวลาที่กำหนดนั่นเอง
หัวใจของGlobal Resetจะอยู่ที่เงินสกุลโลกใหม่ที่จะออกมาแทนดอลล่าร์ เมื่อสร้างดอลล่าร์ได้ก็ทำลายดอลล่าร์ได้เหมือนกัน พร้อมกับสกัดดิจิตัลหยวนไปควบคู่กัน
สิ่งที่สหรัฐและพวกWEFกลัวที่สุดคือ เมื่อจีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกจีนจะไม่ยอมเดินตามกฎเกณฑ์ที่สหรัฐร่างขึ้นมา เพราะจีนและรัสเซียไม่เห็นด้วยในการผูกขาดอำนาจโลกแต่ผู้เดียวของกลุ่มแองโกลอเมริกัน แต่ต้องการให้โลกมีทางเลือกของการมีมหาอำนาจหลายขั้ว (Multipolar World)
อย่างที่ได้บอกเอาไว้ จีนไม่จำเป็นต้องลอกการบ้าน หรือทำตามสหรัฐเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป มันหมดยุคไปแล้ว ไม่เหมือนตอนรับจ้างเป็นคนงานที่ได้แรงงานถูกๆเพื่อจ้างให้ผลิตตอนนี้จีนรวยพอที่จะเป็นเถ้าแก่เองแล้ว จีนมีหน้าที่ปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของคนจีน ไม่ได้มีหน้าที่ต้องดูแลผลประโยชน์ขอ งสหรัฐตลอดไป
ในยุคสงครามเย็นคราวที่แล้ว สหรัฐหันมาสร้างจีนเพื่อยันรัสเซียในศึก3ก๊ก แต่ในสงครามเย็นยุคนี้ สหรัฐพยายามแซะรัสเซียกับจีนไม่ให้จับมือกันได้ เพื่อเผด็จศึกจีนโดยหวังทำลายจีนให้ล่มสลายเหมือนจักรวรรดิโซเวียตที่ถูกทำลายในปี 1991โดยไม่ต้องลั่นไกออกอาวุธ
ไบเดนถึงกับประกาศในเวทีG7ที่อังกฤษเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า กฎเกณฑ์ทางเทคโนโลยีและการค้าต่อไป สหรัฐต้องเป็นผู้วางระบบเท่านั้น ไม่ใช่จีน ด้วยเหตุนี้สงครามเย็นที่สหรัฐกำลังก่อกับจีนจึงมีเป้าหมายหลักคือสกัดดาวรุ่งจีนไม่ให้เป็นผู้วางกฎเกณฑ์ทางด้านการเงิน การค้าโลก รวมท้ังเรื่องของทรัพย์สินดิจิตัล เพราะว่าใครคุมเงิน (capital) ผู้นั้นจะครองโลกในวาระต่อไป
แล้วทำไมคิสซิงเจอร์ถึงต้องสร้างจีน แล้วคิดว่าจะคุมจีนได้ แต่ตอนนี้คุมจีนไม่ได้? 1/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/368265614668096
1. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
เรากำลังเข้าสู่ยุคสงครามเย็น (Cold War)โดยมีสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นคู่ปฏิปักษ์ มันเป็นสงครามเย็นที่มีความตึงเครียดมากกว่าในช่วงสงครามเย็นที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตมีการแบ่งค่ายโลกของเป็น2ขั้วคือโลกเสรีนิยม และโลกสังคมนิยมเสียอีก
ในสงครามเย็นคร้ังนั้น ซึ่งเปิดฉากหลังเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2ได้ไม่นาน สหรัฐเป็นผู้ริเริ่มก่อนเพื่อทำลายโซเวียต ทั้งๆที่สหรัฐ โซเวียตและอังกฤษเป็นพันธมิตรร่วมกันในการทำสงครามต่อต้านกองทัพนาซีเยอรมันนี โดยที่รัสเซียเสียหายมากที่สุด ประชากรล้มตายลง20-30ล้านคนในสงครามในโหดร้าย ในขณะที่สหรัฐไม่ได้เสียหายอะไรมาก เพราะว่าอเมริกาเหนือไม่ได้เป็นสมรภูมิของการรบพุ่ง และสหรัฐเข้าสู่สงครามโลกภายหลังตอนเกมใกล้จบเมื่อญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์
ทำไมญี่ปุ่นต้องทอดสะพานเชื้อเชิญให้สหรัฐเข้าสู่สงครามโลก ท้ังๆที่ลำพังจะยึดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในมหาสงครามเอเชียบูรพาก็ลำบากเลือดตาแทบกระเด็นอยู่แล้ว ทำให้ท้ายที่สุดโดนนุ๊กไป2ลูกจนพ่ายแพ้ย่อยยับ เรื่องนี้คงต้องมีการศึกษาเบื้องหน้าเบื้องหลังกันต่อไป
สหรัฐชุปมือเปิบ กลายเป็นฮีโร่หรือตาอยู่ในฐานะผู้ชนะสงครามภายใต้การกำกับของอังกฤษที่บอบช้่ำจากสงครามพอสมควร แต่สิ่งที่อังกฤษได้มากกว่าสิ่งที่เสียเกินคุ้ม เนื่องจากในสงครามโลกคร้ังที่ 1 จักรวรรดิที่เป็นคู่แข่งของอังกฤษถูกทำลายไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิปรัสเซีย ออสเตรียน-ฮังการี ออตโตมัน รวมท้ังระบอบซาร์ของรัสเซียที่ถูกซิตี้ออฟลอนดอน และวอลล์สตรีทอยู่เบื้องหลังในการโค่นล้มด้วยการส่งออกพวกบอลเชวิคเข้าไปทำลายรัสเซียจากภายใน ส่วนในสงครามโลกคร้ังที่ 2เป้าหมายคือทำลายเยอรมันนีลงดาบซ้ำ2ที่เป็นคู่แข่งของอังกฤษให้ย่อยยับไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด พร้อมกับการทำให้โซเวียตรัสเซียอ่อนแอลงจากการแบกต้นทุนของสงคราม อังกฤษทราบดีว่า ถ้าหากเยอรมันนีที่มีเทคโนโลยีเหนือใคร และรัสเซียที่มีทรัพยากรมั่งคั่งที่สุดในโลกสามารถจับมือกันได้ดุลภาพของอำนาจในยุโรปและในโลกจะอยู่ที่2ประเทศนี้
โดยภาพรวม สงครามโลกครั้งที่ 1และคร้ังที่2จึงเป็นสงครามจักรวรรดิที่อังกฤษดำเนินการต่อเนื่องหลังจากก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เพื่อทำลายจักรวรรดิคู่แข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมันนีกับรัสเซียที่เข้มแข็งแต่ไร้เดียงสา ทำให้สามารถยึดครองดินแดนได้เพิ่มภายใต้เครือจักรภพอังกฤษ ควบคุมเส้นทางเดินเรือ ดูแลระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินอันนำไปสู่การสร้างระเบียบโลกที่อังกฤษสามารถคอนโทรลได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยมีสหรัฐเป็นลูกไล่
ในสงครามเย็นที่มีการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียตนี้เกิดขึ้นระหว่างหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2ไปจนถึงปี1991ที่สหภาพโซเวียตล่มสลายแตกแยกออกมากลายเป็น15ประเทศ สงครามเย็นในคร้ังนั้นถือเป็นดาบ2ที่ทำลายรัสเซียเพื่อแบ่งแยกดินแดน อันจะเป็นการง่ายสำหรับทุนของวอลล์สตรีทและลอนดอนที่จะเข้าไปยึดครองทรัพยากรธรรมชาติที่มีมากมายมหาศาลของรัสเซียผ่านการพิมพ์เงินกระดาษกงเต๊กที่พิมพ์ได้ไม่อั้นเพื่อซื้อตัวนักการเมือง พนักงานรัฐ ลงทุนในรัฐวิสาหกิจที่ถูกสั่งให้แปรรูป รับสัมปทาน ยึดระบบแบงกิ้งและธนาคารกลาง รวมท้ังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
โชคดีที่รัสเซียมีวราดิเมียร์ ปูติน อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับเคจีบีที่รับไม้ขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจากบอริส เยลซินในปี2001 สามารถกู้ชาติได้เหมือนพระเจ้าตาก ปูตินใช้เครือข่ายเคจีบีทุบเครือข่ายนายทุนที่ส่วนมากเป็นยิวรัสเซียที่เชื่อมโยงกับวอลล์สตรีทและลอนดอนจนสามารถถอนรากถอนโคนอิทธิพลของต่างชาติได้ ทำให้รัสเซียกลับมามีความมั่นคงอีกคร้ัง พร้อมแสนยานุภาพทางทหารที่สามารถเทียบเคียงสหรัฐได้ในเวลานี้ ด้วยเหตุนี้ปูตินจึงกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาโลก เพราะว่าทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองขัดผลประโยชน์ของวอลล์สตรีทและลอนดอนนั่นเอง
แล้วสงครามเย็นคืออะไร? สงครามเย็นไม่ใช่สงครามร้อน (Hot War)ที่รบพุ่งกันด้วยอาวุธมหาประลัย ทำให้ผู้คนล้มตาย บ้านเมืองและทรัพย์สินถูกทำลาย แต่สงครามเย็นเป็นการสู้กันด้วยชั้นเชิงทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ใช้อาวุธเข้าประหัดประหารกัน สู้กันด้วยอุดมการณ์ ระบบเศรษฐกิจและความเชื่อ ต่างฝ่ายต่างโฆษณาชวนเชื่อ หาพรรคหาพวก แข่งกันหรือเกทับการด้วยการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ที่สามารถทำลายล้างโลกได้ มีการข่มขู่กันด้วยวาจาและทำสงครามใต้ดินที่ไร้รูปแบบ
โซเวียตแพ้สงครามเย็น เพราะว่ามีผู้นำสังคมนิยมที่เป็นไส้ศึกทำงานให้กับวอลล์สตรีทและลอนดอน ที่ถูกวางตัวกันมาตั้งแต่วราดิเมียร์ เลนินที่เป็นผุ้นำปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 จนถึงผู้นำรุ่นอื่นๆ กว่ารัสเซียจะปลดแอกได้ก็ตั้งรอถึงสมัยของปูติน โซเวียตถูกโดดเดี่ยว หรือจะบอกว่าทำตัวเองด้วยการปิดประเทศจากเศรษฐกิจโลก หมกมุ่นกับค่ายสังคมนิยมตะวันออก ไม่ได้มีการค้าขายแลกเปลี่ยนพัวพันกับประชาคมโลกที่ค่ายเสรีแองโกลอเมริกันที่เจริญกว่าคอนโทรลอยู่ ในที่สุดโซเวียตก็ล่มสลาย ร่วมท้ังยุโรปตะวันออกที่พ่ายแพ้เกมสงครามเย็นทำให้โลกอยู่ภายใต้เสรีนิยมทุนนิยมภายใต้การกำกับของวอลล์สตรีทและลอนดอนอย่างเด็ดขาด
ในยุคสงครามเย็นที่สหรัฐเผชิญหน้ากับรัสเซีย จีนยังคงเป็นมังกรท่ี่หลับไหลอยู่ ไม่ได้มีพลังทางเศรษฐกิจ หรือแสนยานุภาพทางทหาร จีนประสบกับความเสียหายย่อยยับจากสงครามฝิ่นกับอังกฤษในศตวรรษที่ 19ทำให้เสียเกาะฮ่องกง ตามมาด้วยสงครามกับ8ประเทศอันได้แก่เยอรมันนี ญี่ปุ่น รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ อิตาลีและ ออสเตรีย- ฮังการีรวมหัวกัน ด้วยการส่งกองกำลังทหารเข้ามารวม46,000นายในปี 1900เพื่อรบพุ่งกับพวกกบฎนักมวย (Boxer Militia) ที่ราชวงศ์ชิงแอบให้การสนับสนุนเพื่อต่อต้านการครอบงำของต่างชาติที่เข้ามารุกรานหรือค้าขายแบบเอาเปรียบจีน ปรากฎว่าพวกกบฎนักมวยถูกปราบราบคาบ ทำให้จีนต้องเซ็นข้อตกลงBoxer Protocol และต้องจ่ายค่าปฏิมากรณ์สบครามเป็นเงินแท่ง และทรัพย์สินอื่นๆเป็นมูลค่าประมาณ$46,000ล้านในปัจจุบันที่บวกเงินเฟ้อ เรียกได้ว่าท้องพระคลังของราชวงศ์ชิงถึงกับล้มละลายเลยก็ว่าได้
หลังจากนั้นอีก10ปี ราชวงศ์ชิงก็ล่มสลายจากการปฏิวัติของซุน ยัดเซนที่เอาอุดมการณ์ตะวันตกมาล้มระบบจักรพรรดิจีนที่มีมายาวนานหลายพันปีตั้งแต่สมัยพระเจ้าจิ๋น ซีฮ่องเต้ เมื่อระบบดั้งเดิมล่มลาย จีนเข้าสู่โหมดของเคออส (chaos) มีระบบสาธารณะรัฐที่ง่อนๆแง่นๆ เกิดการรบพุ่งที่นองเลือดเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน หรือสงครามกลางเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีการก่อตั้งขึ้นมาในปี 1921 จีนตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนกับรัสเซียที่ถูกส่งออกลัทธิมาร์กซ์สังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ของคาร์ล มาร์กซ์ที่ไม่เอาศาสนา ไม่เอารากเหง้าเดิม เชื่อในวิทยาศาสตร์แนววัตถุนิยมเพื่อทำลายประเทศจีนจากภายใน
มีการสู้รบกันระหว่างกองทัพปลดแอกประชาชนของเหมา เจ๋อตุง กับกองทัพก๊กมินตั๋งของนายพลเจียง ไคเช็คเพื่อชิงอำนาจ แต่ทั้งสองฝ่ายยอมสงบศึกชั่วคราวในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา เพื่อรบกับญี่ปุ่น เพราะว่าจีนถูกญี่ปุ่นเข้ามารุกรานและยึดครองเมืองท่าและพื้นที่ต่างๆของประเทศ หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกไปแล้ว เหมากับเจียงกลับมาทำศึกกันอีกคร้ัง อย่างที่เราทราบกันดี พวกก๊กมินตั๋งแพ้สงครามทำให้ต้องย้ายทัพไปปักหลักชั่วคราวที่เกาะไต้หวัน ส่วนเหมา เจ๋อตุง และพรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศจีนที่เกิดใหม่ในปี 1949หลังสงครามโลกครั้งที่2เพียง4ปี โดยเปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China)ท่ามกลางซากปลักหักพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรากเหง้าเดิมเกิดความยากจนและอดอยากไปทั่ว
จีนเป็นยักษ์หลับในช่วงสงครามเย็นระหว่างสหรัฐกับโซเวียต เพราะว่ายังไม่มีพิษมีภัย ความจริงเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ซึ่งเป็นรมวต่างประเทศสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และเป็นตัวแทนของวอลล์สตรีทและลอนดอนมีบทบาทสำคัญที่สุด หรือเป็นผู้ริเริ่มที่จะสร้างจีนขึ้นมาใหม่ เริ่มต้นด้วยการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐและจีน โดยนิกสันเดินทางไปเยือนจีนเพื่อจับมือกับประธานเหมาในปี 1972เพื่อโดดเดี่ยวรัสเซียเพิ่มในสงครามเย็น
จีนไม่ขัดข้องที่จะมีสัมพันธ์กับสหรัฐ เพราะว่าคอมมิวนิสต์จีนกับคอมมิวนิสต์รัสเซียมีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว อันเป็นการวางรากฐานของนโยบายที่สำคัญของสหรัฐในการย้ายฐานผลิตของบริษัทอเมริกันมาลงทุนที่จีน เพื่อสร้างเศรษฐกิจจีนขึ้นมาใหม่ โดยหวังว่าจะสามารถควบคุมให้จีนอยู่ในเกมได้ เพราะว่าสหรัฐและอังกฤษมีแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าจีนอย่างเทียบไม่ได้ และที่สำคัญสามารถควบคุมระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลกอย่างเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว
จีนถูกวางบทบาทให้เป็นคนงานโรงงานขายแรงงานถูกๆเพื่อสร้างกำไรให้กับบริษัทอเมริกัน และเพื่อต่อยอดอายุของดอลล่าร์กงเต๊ก จีนต้องพึ่งพาสหรัฐในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความระหองระแหงใจ หรือความไม่ไว้วางใจเริ่มก่อตัวปะทุขึ้น เมื่อคนงานจีนที่ขายแรงงานในโรงงานสามารถผันตัวเองกลายเป็นหลงจู๊ หรือเถ้าแก่ เป็นเจ้าของโรงงานสาระพัดได้ และมีแนวโน้มจะรวยกว่านายทุนวอลล์สตรีท และลอนดอน จึงทำให้เกิดสงครามเย็นรอบใหม่ขึ้นมาระหว่างสหรัฐกับจีนในเวลานี้ เพื่อสกัดไม่ให้โรงงานจีนรวยกว่าแบงก์วอลล์สตรีทกับแบงก์ลอนดอนอันจะอธิบายต่อในบทต่อไป 1/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/368184971342827