.. "เราอยู่ในระหว่างสงคราม : เตรียมรับเศรษฐกิจโลกทรุด ตกต่ำหนักสุดในชีวิต"
... "การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ" หรือ
Stagnation คือ "ภาวะชะงักงัน เป็นช่วงเวลาที่ยืดเยื้อซบเซาของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจน้อยกว่า 2 ถึง 3% ต่อปีถือเป็นความซบเซาและเน้นด้วยช่วงเวลาที่ว่างงานสูงรวมทั้งการจ้างงานชั่วคราว, ความซบเซาอาจเกิดขึ้นในระดับเศรษฐกิจมหภาคหรือขนาดเล็กลงในอุตสาหกรรมหรือ บริษัท เฉพาะ ภาวะชะงักงันอาจเกิดขึ้นได้โดยเป็นเงื่อนไขชั่วคราวเช่นการเติบโตที่ถดถอยหรือการช็อกทางเศรษฐกิจชั่วคราวหรือเป็นส่วนหนึ่งของสภาพโครงสร้างระยะยาวของเศรษฐกิจ
... แต่ ปีนี้ 2020 "วิกฤติโควิด19" + สงครามเย็นใหม่ = วิกฤติเศรษฐกิจโลกจะทรุดหนักยกกำลังสอง"
... นับตั้งแต่โควิดระบาด ทั่วโลกปิดประเทศ การผลิต การค้าขายชะลอตัว การท่องเที่ยวปิดตาย สายการบินเป็นง่อย โรงแรมเงียบเหมือนสุสาน พนักงานถูกเลิกจ้างไร้ความหวัง คนว่างงานทั่วโลกค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ "การบริโภคลดลงทั่วโลก" ตามจำนวนการระบาดของโควิด ตลาดหุ้นตกลงเรื่อยๆตั้งแต่กุมภาพันธ์ จีดีพีทั่วโลกลดลงหมด
.. มีการคาดการณ์ว่า ในไตรมาสที่สองของปี 2020 นี้ "การว่างงานทั้งโลก" จะลดลงร้อยละ 6.7 หรือ คิดเป็น 195 ล้านคนของแรงงานเต็มเวลา
... รวมทั้งวิกฤติได้แสดงออกทาง "ราคาน้ำมันที่ตกลงมาก" เพราะการบริโภคน้อยลง คนประหยัดมากขึ้น , การท่องเที่ยวตกต่ำมาก , ธุรกิจบริการ เช่น โรงแรม บริษัททัวร์ บริษัทรับจองตั๋ว ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงภาพยนตร์ ร้านนวด ผับบาร์ ต่างเจ็บปวดทั่วโลก
... "ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลง" ประมาณร้อยละ 20-30 และมีการเคลื่อนไหวที่เปราะบางและไม่มีเสถียรภาพเหมือนก่อน
... นอกจากนั้น นับหลังจากวิกฤติการเงินแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2009 ถึงปี 2019 โลกมี "การสร้างหนี้มากขึ้น" ของบริษัทเอกชน จากร้อยละ 84 เป็น 92 ของมูลค่ามวลสินค้าทั้งโลก หรือ คิดเห็น 7ล้านล้านดอลล่าร์
... ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่บริษัทเหล่านั้นจะประสบปัญหาในการที่ "ไม่สามารถชำระดอกเบี้ย หรือ หนี้ได้" และจะกระทบถึง การต้องปรับโครงสร้างหนี้ หรือองค์กรลูกหนี้ และระบบการเงินโลกเป็นโดมิโนขั้นต่อไป
... ไอเอ็มเอฟ บอกว่าจะเป็นการเข้าสู่ดินแดนแห่งการซบเซาทางเศรษฐกิจที่หนักมากนับตั้งแต่ปี 2008, การผลิตจะช้าลดลงแบบฮวบฮาบ นักเศรษฐศาสตร์บางสายก็โทษ "สงครามการค้าจีน อเมริกา" หรือ Brexit รวมทั้ง "ความขัดแย้งทางการเมือง" ในหลายภูมิภาค และการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ( เช่นในตอนนี้ ทุกประเทศ 'รายจ่ายมากขึ้น' จากต้องจ่ายเพื่อรักษาคนป่วยติดโควิด แต่ 'รายรับน้อยลง' จากการท่องเที่ยวและบริการต่างๆที่ปิดประเทศ )
... นับตั้งแต่เมษายน 2019 ก่อนโควิด "ตลาดพันธบัตร" อเมริกา ก็มีดัชนีผลตอบแทนกลับหัวชี้ลง แปลว่า นักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นและสนใจลงทุนในตลาดเหล่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะในระยะสั้น มันเสี่ยงเกินไป เงินจะเอาไปหมุนก็น้อย ทองคำจึงพุ่งขึ้น
... "หนี้ของอเมริกา" ที่พิมพ์เงินออกมาจากอากาศ QE แบบไม่รู้จบ , รวมทั้ง "หนี้ของอียู" ก็มากไม่แพ้กัน ทำให้โลกกลายเป็นสนามรบที่มี "ระเบิดหนี้" พร้อมจะแตกโพล่งขึ้นทุกเมื่อ
... เช่น กันยายน 2019 ตลาดพันธบัตรระยะสั้น หรือ Repo ก็ขาดสภาพคล่อง ทำให้รัฐบาลเฟดต้องอัดฉีดเงินเข้าไป ก็เป็นสัญญานหนึ่งของ "ระเบิดเศรษฐกิจโลก"
... "สงครามเย็นใหม่" ที่เป็นแม่ของ "สงครามการค้าจีน - อเมริกา" ก็เป็นอีกตัวแปรที่จะเร่งให้เกิดระเบิดทางเศรษฐกิจ ทั้ง การขึ้นภาษีสินค้าระหว่างกัน การแบน 5จีของหัวเหว่ย การกีดกันการเข้าถึงแอนดรอยด์ของมือถือหัวเหว่ย การพยายามแบนติกต๊อก ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงเรื่อยๆ
... นับตั้งแต่โควิดระบาด "การตลาดโลก", "ระบบการธนาคารโลก" และ "ธุรกิจต่างๆ" ต้องประสบกับวิกฤติหนักเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ ปี 1929 หรือ The Great Depression
... และยิ่งกว่านั้น "วิกฤติเศรษฐกิจ" จะโดมิโน ไปสู่ "วิกฤติการเมือง" ในเร็ววัน จะมีการออกมาประท้วงรัฐบาลที่ไม่มีไหวพริบหรือความสามารถในการสร้างสภาพคล่องในระบบของประเทศได้ ที่จะถูกฝ่ายตรงข้ามเอามาเป็นประเด็นข้ออ้างในการล้มล้างรัฐบาลปัจจุบัน
... และทางออกเดียว ตอนนี้คือ ประเทศเล็กๆเหล่านั้น ต้อง "สร้างหนี้กู้เงินมาแก้ปัญหา" ที่จะเข้าทาง "เผด็จการการเงินโลก" ที่จะเอาเป็นโอกาศตั้งเงื่อนไขในการกู้เงิน ต้องขายสมบัติชาติก่อน เช่น รัฐวิสาหกิจต่างๆ แก้กฏหมายในการครอบครองสินทรัพย์ในประเทศลูกหนี้
... "ธนาคารโลก" เคยพยากรณ์ว่าในบางพื้นที่ของโลก กว่าจะรื้อฟื้นสู่ภาวะปรกติสมบูรณ์ก็อย่างเร็วในปี 2025 หรือช้ากว่านั้น
... ( ในกรณีนี้ NED ของอเมริกา เองก็เข้ามาป่วนแทรกแซงด้วย เพื่อหวังล้มล้างรัฐบาลที่ไม่เดืนตามนโยบายของพวกเขา เช่นในหลายประเทศ รวมทั้ง ไทย ฮ่องกง )
... โควิดเองแม้จะมีการพัฒนาวัคซีนในหลายประเทศ แต่ไวรัสเองก็กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ทำให้ความไม่มั่นใจไร้เสถียรภาพยังกระจายไปทั่วโลก
... เราจึงต้องย้ำเตือนตัวเองว่า การที่เราต้องสวมหน้ากากไปทำงาน งานน้อยลง ประหยัดหนักขึ้น มันคือ "สภาพวะของผู้คนในสงคราม" ของ "สงครามเย็นใหม่" + "วิกฤติเศรษฐกิจ" ที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ
... "เรากำลังอยู่ในสงคราม" เราต้องมีสติและเตรียมตัวรับความพร้อมรับวิกฤติใหญ่ตั้งแต่วันนี้
.
...
... As of September 2020, every advanced economy is in a recession or depression, whilst all emerging economies are in recession. Modeling by the World bank suggests that in some regions a full recovery will not be achieved until 2025 or beyond.

ที่มา: Jeerachart Jongsomchai