ธรรมะเชิงประวัติศาสตร์ นิยามของวัฏจักร การสร้างใหม่แล้วทุบทิ้ง เป็นวงกลมไปเรื่อยๆ
ความลำบากจริงๆไม่มีหรอก
ความสุขสบายจริงๆก็ไม่มีหรอก
ก็มีเพียงแค่ความไม่เข้าใจโลกเท่านั้นเอง
ที่ทำให้ต้องลำบาก..ใจ..
วัฏ แปลว่า วงกลม วัฏสงสาร แปลว่า วงกลมที่น่าสงสาร
ผู้ที่ตกอยู่ในวัฏสงสาร แปลว่า ผู้ที่ตกอยู่ในวงกลมที่น่าสงสาร คือวงกลมของการเป็นทาส ความรู้เท่าทันแล้วรู้จักวางอุเบกขาคือนิ่งเฉย เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการออกจากวงกลมของการเป็นทาส
ความร่ำรวยที่แท้จริง ไม่ได้หมายถึง การมีเงินมาก เพราะถึงรวยอย่างไร คุณก็ไม่มีทางรวยกว่าคนที่มีอำนาจในการพิมพ์เงินได้ อย่างแน่นอน ออกจากความโง่งมงาย ออกจากความหลงว่าตนเองฉลาด กับของพวกนี้ได้แล้ว
สติปัญญาที่รู้เท่าทันอาการของโลกธรรมที่เกิดแก่ตนต่างหาก ที่จะสามารถสร้างความร่ำรวยที่แท้จริงให้คุณได้ นั้นคือ อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่จะทำให้คุณสุขสบายข้ามภพข้ามชาติได้ รู้อย่างนี้แล้วก็พึงตัดสินใจ ลด ละ เลิก ความทะเยอทะยานอยาก ความเสียเวลา ความเกินพอดี ในสิ่งที่ไม่ได้นำพาความร่ำรวยที่แท้จริงมาให้คุณได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

14. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร?
จีนติดกับดักยูเอสดอลล่าร์ ดิ้นไม่ออกเหมือนกับญี่ปุ่นและประเทศที่เน้นการส่งออกท้ังหลายรวมท้ังประเทศไทย
ตลอดระยะเวลา40กว่าปีที่ผ่านมาจีนเอาหยาดเหงื่อเพื่อแลกกับรายได้จากการส่งออกในรูปดอลล่าร์ และรีไซเกิ้ลดอลล่าร์กลับไปยังสหรัฐผ่านการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐสามารถใช้จ่ายเกินตัวเพื่อรักษาระบบจักรวรรดินิยม ทำให้จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ$1.7ล้านล้านในช่วงหนึ่ง และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกถึง$4ล้านล้าน
การถือทรัพย์สินดอลล่าร์ในระดับสูงส่วนหนึ่งก็เพื่อที่จะกดอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนให้อ่อนค่าเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของจีน รวมท้ังแรงงานจีน เพื่อต่อยอดในการพัฒนาอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทำให้เงินหยวนมีความน่าเชื่อถือ เพราะว่านักลงทุนต่างประเทศที่ลงทุนตั้งโรงงาน และเอาเทคโนโลยีมาถ่ายทอดให้จีนมีความมั่นใจว่าจีนมีสำรองดอลล่าร์เพียงพอเวลาจะโยกเงินกลับประเทศ
จีนติดกับดักดอลล่าร์ เพราะว่าต้องกดค่าหยวนเพื่อที่จะได้ขายของในราคาถูก และพัฒนาอุตสาหกรรม และต้องช่วยหนุนดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อกินดอกเบี้ย ในขณะที่ภายในประเทศแรงงานจีน หรือเศรษฐกิจจีนต้องรับเคราะห์ในเรื่องของเงินเฟ้อที่ค่อยๆกลัดกร่อนอำนาจซื้อ แต่ก็ต้องยอมติดกับดักนี้ไปก่อน เพราะว่าจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมาก ประชากรของจีนมากกว่าประชากรของทวีิปอเมริกาใต้ ยุโรป อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลียรวมกันเสียอีก เมื่อมีประชากรมากที่ต้องเลี้ยงดู ต้องหางานให้ทำ ในระยะแรก จีนต้องกอบโกยดอลล่าร์เข้าประเทศให้ได้มากๆก่อน และดันจีดีพีให้สูงทะลุฟ้า เพื่อที่จะแก้ปัญหาความยากจน และไล่ประเทศอื่นให้ทันในแง่ของมาตรฐานการดำรงชีพของคนจีน หรือรายได้ต่อหัว
ถ้าหากว่าจีนจะทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ไม่รีไซเกิ้ล จะทำให้ขาดทุนจากการถือพันธบัตร และจะทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์กับสหรัฐที่ดำเนินมาอย่างค่อนข้างราบเรียบในระยะเวลา30ปีแรกหลังการเปิดประเทศต้อนรัฐเงินทุนต่างชาติในปี 1979 เพราะว่าสหรัฐพึ่งพาจีนในการหนุนดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ เพื่อให้ดอลล่าร์มีเสถียรภาพ จีนรู้ดีว่าสหรัฐก่อหนี้โดยไม่มีความตั้งใจที่จะใช้หนี้ เพราะว่าจะออกพันธบัตรใหม่ไปชำระหนี้เก่าไปเรื่อยๆ เนื่องจากการใช้จ่ายที่เกินตัวในการรักษาระบบสวัสดิการสังคม และระบบจักรวรรดิที่ต้องมีการก่อหนี้มหาศาล
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงทุกอย่าง หรือเกมทุกเกมก็ต้องมีวันสิ้นสุด เมื่อวันเวลา หรือสถานการณ์เปลี่ยนไป จีนไม่ต้องการติดกับดักดอลล่าร์ดีมานด์เทียมตลอดไป แต่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการถือพันธบัตรสหรัฐไปถือทรัพย์สินอย่างอื่นแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ เพราะว่าอยู่ดีๆใครจะไปพิมพ์ทองคำเพิ่มเหมือนพิมพ์เงินกระดาษไม่ได้ การเพ่ิมหนี้ หรือการเพิ่มปริมาณเงินดอลล่าร์ของสหรัฐจะทำให้ดอลล่าร์มีค่าเสื่อมลงจากเงินเฟ้อ
ไปๆมาๆดอลล่าร์ที่จีนแบกรับถืออยู่มีแต่จะขาดทุน เพราะว่าดอกเบี้ยให้ผลตอบแทนต่ำมาก และถูกเงินเฟ้อกินไปหมด
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังเดือนมิถุนายนปี 2011 ซึ่งในตอนนั้นจีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมากที่สุดในโลกถึง$1.7ล้านล้าน หรือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ญี่ปุ่นถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐน้อยกว่าจีนเล็กน้อย แต่ญี่ปุ่นแตกต่างจากจีนตรงที่ไม่ต้องการออกจากกับดักดอลล่าร์ เพราะว่านโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของญี่ปุ่นถูกสหรัฐคอนโทรลอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2เรื่อยมา
หลังจากปี 2011 จะเห็นได้ว่า การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของจีนเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าจีนเอาดอลล่าร์ไปซื้อทรัพย์สินอย่างอื่นแทน วิกฤติวอลล์สตรีท 2008ทำให้จีนรู้ว่าไม่สามารถจะพึ่งพาสหรัฐ รวมท้ังการส่งออกได้อีกต่อไป ที่สำคัญจะอยู่กับดักดอลล่าร์อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้ ผลประโยชน์ของชาติจะเสียหาย แต่การขายพันธบัตรสหรัฐต้องทำอย่างไม่กระโตกกระตาก มิเช่นนั้นจะทำลายเสถียรภาพของระบบการเงินโลก และจีนจะเสียประโยชน์ หรือขาดทุนหนักไปด้วย
มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐกับจีนมีข้อตกลงลับระหว่างกัน โดยสหรัฐรู้ตัวว่าตัวเองทำQEเพิ่มปริมาณเงินเพื่ออุ้มระบบการเงิน ก่อหนี้ที่ไม่มีเพดานทำให้ผู้ถือดอลล่าร์ไม่สบายใจ จึงจะผ่องถ่ายทองคำไปให้จีนเพื่อให้จีนสบายใจในระดับหนึ่ง โดยสหรัฐจะหาแหล่งทองคำจากที่ต่างๆเพื่อแลกกับดอลล่าร์ที่จีนได้มาจากการส่งออก แต่จีนต้องยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อเนื่องแบบเนียนๆต่อไป แม้ว่าปริมาณจะลดลงไป เพื่อให้เกมเก้าอี้ดนตรีของดอลล่าร์ดีมานด์เทียมสามารถยื้อต่อไปได้
จีนแอบซื้อทองคำมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาทำให้นักวิเคราะห์ทองคำค่ายตะวันตกเชื่อว่าจีนน่าที่จะมีทองคำสำรองอยู่20,000ตัน แต่ความจริงแล้วน่าที่จะมีมากกว่านั้น หรืออาจจะมี30,000ตันก็ได้ เพราะว่าจีนก็ผลิตทองคำได้เอง แต่ไม่ส่งออกทองคำ และอาจจะตะลุยซื้อทองคำเพิ่มเติมโดยไม่บอกใคร
ณ เดือนมีนาคมปี 2021 จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ$3.19ล้านล้าน โดยในอดีตเคยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า$4ล้านล้าน ตัวเลขสิ้นสุดเดือนพฤษาคมที่ผ่านมา จีนมีการและถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ $1.078 เทียบกับ$1.7ล้านล้านในปี 2011 เท่ากับว่าช่วงระยะเวลา10ปีที่ผ่านมาจีนลดการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงไป$700,000ล้าน แม้ว่าการค้าระหว่างประเทศของทั้งคู่จะเพิ่มขึ้น หรือจีนมีรายได้ดอลล่าร์เพิ่มขึ้นก็ตาม
แสดงว่าจีนไม่ต้องการอยู่ในกับดักดอลล่าร์ที่มีการสร้างดีมานด์เทียมอีกต่อไป พร้อมกับมีการปรับเปลี่ยนนโยบายไม่เน้นการส่งออก ไม่พึ่งพาสหรัฐ โดยนโยบายนี้เด่นชัดขึ้นเมื่อสี จิ้นผิงก้าวขึ้นมามีอำนาจในปี 2012 เพราะว่าการกดหยวนให้อ่อนค่าเกินจริงตลอดระยะเวลาที่ยาวนานที่ผ่านมาเพื่อหนุนภาคการส่งออก และอุ้มดอลล่าร์ไปในตัวทำให้ภาคส่งออกรวย ซึ่งส่วนมากก็เป็นบริษัทต่างชาติที่ใช้จีนเป็นฐานส่งออก และช่วยดันจีดีพีให้สูง และเพิ่มการจ้างงาน แต่คนจีนส่วนใหญ่เสียประโยชน์ เพราะว่าหยวนที่อ่อนค่าทำแรงงานจีนมีราคาถูก และทำให้เกิดเงินเฟ้อที่กัดกร่อนอำนาจซื้อของคนจีน
ประธานาธิบดีสีสานต่อแนวนโยบายที่จะออกจากกับดักดอลล่าร์ โดยปรับเปลี่ยนนโยบายการส่งออกให้หันมาเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจภายในควบคู่กันไป ให้มีการเพ่ิมค่าแรงทำให้ค่าแรงของจีนเพิ่ม4เท่าเมื่อเทียบกับยุค1990sในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันค่าแรงคนงานอเมริกันไม่ได้เพิ่มเลยเมื่อหักเงินเฟ้อ การเพิ่มอำนาจซื้อของคนจีนทำให้เกิดชนชั้นกลาง กำจัดปัญหาคนยากจน โดยคนจีน800ล้านคนถูกยกระดับออกจากความยากจน สร้างซับไพลหรือนวัตกรรมใหม่ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อพึ่งพาตัวเอง แทนการพึ่งพาสหรัฐที่ต้องจำใจทนอยู่ในกับดักดอลล่าร์เหมือนอย่างในอดีต
นโยบายดัมพ์ดอลล่าร์จึงเป็นนโยบายปลดแอกที่สำคัญของจีนในการไม่พึ่งพาสหรัฐต่อไป พร้อมกับปรับตระกร้าเงินของการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนโดยเพิ่มเงินสกุลอื่นๆและลดอิทธิลของดอลล่าร์ แล้วจีนจะดัมพ์ดอลล่าร์ไปลงที่ไหน ถ้าไม่ใช่โครงการเส้นทางสายไหมที่จะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน$3ล้านล้านในระยะข้างหน้าเพื่อเชื่อมโยงเอเชีย ยุโรปและแอฟริกาเข้าด้วยกัน โดยโครงการเส้นทางสายไหมนี้จะตัดหางปล่อยวัดสหรัฐที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจของโลกทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 โดยที่ไม่มีสหรัฐอเมริกาจีนก็อยู่ได้ แถมจะรุ่งเรืองกว่าเสียอีก เรื่องราวนี้จะมีการอธิบายในบทต่อไป 6/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/371336531027671