ธรรมะเชิงประวัติศาสตร์ นิยามของวัฏจักร การสร้างใหม่แล้วทุบทิ้ง เป็นวงกลมไปเรื่อยๆ
ความลำบากจริงๆไม่มีหรอก
ความสุขสบายจริงๆก็ไม่มีหรอก
ก็มีเพียงแค่ความไม่เข้าใจโลกเท่านั้นเอง
ที่ทำให้ต้องลำบาก..ใจ..
วัฏ แปลว่า วงกลม วัฏสงสาร แปลว่า วงกลมที่น่าสงสาร
ผู้ที่ตกอยู่ในวัฏสงสาร แปลว่า ผู้ที่ตกอยู่ในวงกลมที่น่าสงสาร คือวงกลมของการเป็นทาส ความรู้เท่าทันแล้วรู้จักวางอุเบกขาคือนิ่งเฉย เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการออกจากวงกลมของการเป็นทาส
ความร่ำรวยที่แท้จริง ไม่ได้หมายถึง การมีเงินมาก เพราะถึงรวยอย่างไร คุณก็ไม่มีทางรวยกว่าคนที่มีอำนาจในการพิมพ์เงินได้ อย่างแน่นอน ออกจากความโง่งมงาย ออกจากความหลงว่าตนเองฉลาด กับของพวกนี้ได้แล้ว
สติปัญญาที่รู้เท่าทันอาการของโลกธรรมที่เกิดแก่ตนต่างหาก ที่จะสามารถสร้างความร่ำรวยที่แท้จริงให้คุณได้ นั้นคือ อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่จะทำให้คุณสุขสบายข้ามภพข้ามชาติได้ รู้อย่างนี้แล้วก็พึงตัดสินใจ ลด ละ เลิก ความทะเยอทะยานอยาก ความเสียเวลา ความเกินพอดี ในสิ่งที่ไม่ได้นำพาความร่ำรวยที่แท้จริงมาให้คุณได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

12. สหรัฐ vs จีน: ใครพึ่งพาใคร
สหรัฐและจีนต่างก็รู้ดีในใจด้วยกันว่า โครงสร้างความสัมพันธ์หรือผลประโยชน์ร่วมที่สร้างกันมาไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ในรูปแบบเดิมที่ร่วมสร้างกันมาตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิงเปิดประเทศจีนในปี 1979
สหรัฐสร้างจีนให้ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจเพื่อแลกกับการที่จีนต้องแบกภาระการอุ้มดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ ควบคู่กับเปโตรดอลล่าร์ ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐเพื่อให้ผู้บริโภคสหรัฐสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ของถูกๆมาใช้ รัฐบาลสหรัฐสามารถก่อหนี้เหมือนกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ผ่านการดำเนินนโยบายขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ต้องมีการเพิ่มปริมาณดอลล่าร์เข้าไปในระบบเรื่อยๆ เมื่อมีดอลล่าร์เพิ่มขึ้นในขณะที่ข้าวของในระบบมีเท่าเดิมเท่ากับว่าสินค้าต่างๆจะมีราคาแพงขึ้นเนื่องจากดอลล่าร์จะมีค่าที่อ่อนลง
จีนและประเทศผู้ถือครองดอลล่าร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจึงอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะว่ายิ่งถือดอลล่าร์ที่ถูกสร้างให้มีดีมานด์เทียมนานยิ่งจะเสียเปรียบหรือจนลง เพราะว่าสหรัฐเล่นก่อหนี้ไม่เลิก พิมพ์เงินเพิ่มไม่อั้น แต่ในขณะเดียวกันสหรัฐยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และดอลล่าร์เป็นเงินสกุลที่ใช้ง่าย ไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกก็รับดอลล่าร์ท้ังนั้น
แต่ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของจีน รวมท้ังขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น ระบบอุตสาหกรรมการผลิตที่เข้มแข็ง เทคโนโลยีที่ไม่เป็นรองใคร แสนยานุภาพทางทหารที่เกรียงไกร ทำให้สหรัฐก็รู้ตัวดีว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งจีนจะไม่พึ่งพาสหรัฐอีกต่อไป หรือจะไม่ทนแบกดีมานด์ดอลล่าร์ เมื่อจีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จีนอาจจะไม่ขายของเป็นดอลล่าร์ อาจจะรับเฉพาะหยวนก็ได้เหมือนกับสหรัฐในเวลานี้ที่ขายของหรือทำธุรกรรมต่างๆเป็นเงินดอลล่าร์อย่างเดียว เพราะว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก
สงครามเย็นที่สหรัฐกำลังก่อกับจีนในทุกรูปแบบเวลานี้มีสาเหตุมาจากการที่สหรัฐมีแนวโน้มที่จะสูญเสียสิทธิพิเศษในการใช้จ่ายเกินตัวของของดอลล่าร์ในอนาคต
เมื่อ10กว่าปีที่แล้ว จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประมาณ$1.7ล้านล้านจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด$4ล้านล้าน การมีเงินทุนสำรองมากในรูปดอลล่าร์ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเงินหยวน เพราะว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ จีนยังไม่มีเครดิตมากในระบบการเงินโลก การควบคุมเงินหยวนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ จีนช่วยอุ้มดอลล่าร์ทำให้เงินหยวนอ่อนค่า ซึ่งทำให้ค่าแรงงานของจีนถูก สินค้ามีราคาถูก ทำให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ บริษัทผู้ส่งออกได้ประโยชน์ แต่ประชาชนคนจีนโดยทั่วไปแบกภาระจากเงินเฟ้อที่มาจากหยวนที่ถูกกดให้อ่อนค่าเพื่อสนับสนุนการส่งออก เพื่อแลกกับการโกยเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ
ประเทศไทย หรือประเทศผู้ส่งออกทั้งหลายก็ดำเนินนโยบายแบบนี้ในการกดค่าเงินให้อ่อนค่าเพื่อเอื้อการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการเพิ่มจีดีพี แต่ว่าบาทที่อ่อนค่าไม่ได้เอื้อประชาชนโดยรวม เพราะว่าต้องเจอกับเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น สำหรับผู้ที่มีรายได้สูงอาจจะไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ผู้ที่มีรายได้ต่ำหรือรายได้ปานกลางจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ด้อยลง เนื่องจากอำนาจซื้อลดลงจากเงินเฟ้อนั้นเอง
จีนจึงมีการปรับนโยบายไม่อุ้มดีมานด์เทียมของดอลล่าร์ หรือไม่เน้นการส่งออกอีกต่อไป วิกฤติการเงินของวอลล์สตรีทในปี 2008-2009 ซึ่งทำการส่งออกพัง เศรษฐกิจทั่วโลกประสบกับหายนะ ให้จีนต้องปั๊มเงินเกือบ$500,000ล้านในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้บทเรียนที่ดีสำหรับจีนว่าไม่สามารถจะพึ่งพาการส่งออก หรือสหรัฐเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
เมื่อสี จิ้นผิงขึ้นมามีอำนาจในปี 2012 จีนเริ่มดำเนินนโยบายการเอาใจออกห่างจากสหรัฐอย่างจริงจัง แต่ทำอย่างเนียนๆไม่กระโตกกระตาก โดยจีนจะไม่เน้นการส่งออกอีกต่อไป แต่จะหันกับมาให้ความสำคัญกับการกินดีอยู่ดีของคนจีนที่เสียสละมากพอแล้วในการขายแรงงานถูกๆในตอนต้นเพื่อแลกกับการส่งออกและการดันจีดีพีให้โต แต่ในขณะเดียวกันค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าทำให้คนจีนต้องแบกรับเรื่องเงินเฟ้อ ได้เวลาที่จีนจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายของประชาชน เพิ่มชนชั้นกลางผ่านการสร้างเมืองใหม่ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้ครบบริบูรณ์ เน้นการศึกษาการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสร้างซับไพลใหม่ๆผ่านนวัตกรรม สร้างระบบชำระเงินแบบออนไลน์เพื่อให้คนจีนเข้าถึงแหล่งเงินได้ทั่วถึงเพิ่มขึ้น และเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศอันเห็นได้จากการที่อาลีบาบารับรับอนุญาตให้ไปจดทะเบียนขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์ค
ที่สำคัญจีนค่อยๆลดถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐของจีนลดลงเพราะว่าไม่ต้องการแบกดอลล่าร์กงเต๊กอีกต่อไป จนในปัจจุบันการถือครองเหลือ$1.1ล้านล้าน โดยจีนขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐออกไปแล้ว$600,000ล้านจากช่วงพีค
หลังเกิดวิกฤติ2008-2009 สหรัฐไม่ได้แก้ปัญหาโครงสร้าง แต่ใช้นโยบายการเงิน การพิมพ์เงิน หรือการใช้จ่ายกลบปัญหา การเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบผ่านการทำQEของธนาคารกลางของสหรัฐที่งบดุลปูดขึ้นมาจาก$900,000กว่าล้านก่อนวิกฤติ2008 เป็น$7ล้านล้านกว่าในปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะไปต่อถึง$10ล้านล้านก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อที่จะอุ้มภาคการธนาคาร ตลาดหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ออกมาอุตหลุดเพื่อที่จะสร้างหนี้ หรือชดใช้หนี้เก่า รวมท้ังนอกจากนี้ ธนาคารกลางของสหรัฐมีการการกดดอกเบี้ยลงเหลือ0% ทำให้ผู้ที่ถือครองดอลล่าร์มีความเสี่ยงที่ดอลล่าร์จะอ่อนค่าลง และผลตอบแทนพันธบัตรที่ถือแทบที่จะไม่ได้อะไร เพราะว่าดอกเบี้ยต่ำ แถมติดลบเมื่อหักเงินเฟ้อที่สูงกว่ายิลด์ของพันธบัตร
จีนตระหนักดีว่า ดอลล่าร์รีเสิร์ฟไม่มีประโยชน์ต่อจีนอีกต่อไป ที่ผ่านมาจีนเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเล่นตามเกมกอบโกยดอลล่าร์ผ่านการส่งออกเพื่อสร้างจีดีพี สร้างงานสำหรับแรงงานจีน พร้อมกับยอมแบกรับดีมานด์เทียมของดอลล่าร์เพื่อหนุนความเชื่อมั่นในเงินหยวนที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในสากล แม้ว่าจีนจะควบคุมไม่ให้หยวนมีการเคลื่อนไหวที่เสรีก็ตาม เนื่องจากจีนไม่ได้ควบคุมระบบการเงินโลก หรือระบบชำระเงินของโลกทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่หยวนจะตกเป็นเป้าของการโจมตี
ในสมัยของสี จิ้นผิง เราจึงเห็นโอบามาเร่ิมดำเนินนโยบายปักหมุดในเอเชียเพื่อปิดล้อมจีน สกัดไม่ให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก เพราะโอบามาก็รู้ดีว่าจีนกำลังเอาใจออกห่าง ไม่ยอมเล่นตามเกมเดิมที่วางกรอบสร้างกันมาตั้งแต่สมัยของเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ทรัมป์เข้ามามีอำนาจด้วยนโยบายMake America great againเพื่อก่อสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยีกับจีน แม้ว่าสหรัฐจะต้องพึ่งพาจีนมากก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเข้าสินค้าจีน และการที่จีนที่เป็นเจ้าหนี้ ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในสัดส่วนที่สูงเกือบที่สุด เป็นรองแค่ญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนไบเดนยิ่งจะก้าวร้าวกับจีนมากยิ่งขึ้น สะท้อนการดิ้นรนของจักรวรรดิในเฮือกสุดท้ายก่อนวาระการรีเซ็ตระบบโลก 5/8/2021
ที่มา: https://www.facebook.com/ThanongFanclub/posts/370673854427272