แนวความคิดและมุมมองที่ว่าด้วย #โลกทั้งใบคือแชร์ลูกโซ่
ถ้าใครมองออกให้ทะลุมองให้เห็นความจริงว่า ระบบเศรษฐกิจมันก็เป็นเพียง แชร์ลูกโซ่ ที่อายุยืนกว่า แชร์ลูกโซ่ แบบอื่นๆเฉยๆ สิ่งที่อยู่ในวงแชร์ก็คือ เกมส์ ซึ่งมันก็มีทั้งคนแพ้และคนชนะ
แต่สิ่งที่จะทำให้เราสบายที่สุดก็คือ เราก็ยังสามารถเลือกได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องแพ้หรือต้องชนะใคร เลือกแบบนี้ก็ได้เหมือนกัน
ถ้าเราตั้งหลักว่า เราจะขออยู่ในจุดที่ทำให้เราสบายที่สุด (แน่นอนว่าปลายทางเหตุผลของทุกคน ก็คือความสบาย นั้นหละ) แต่เพราะสภาพแวดล้อมของเกมส์ในแชร์ลูกโซ่แบบนี้ มันมักจะมีคนที่ชอบสร้างเกมส์มาให้พวกเราคิดว่า ความลำบาก คือ ความสบายอยู่เสมอ เช่น การสร้างค่านิยมในการอวด การแก่งแย่งแข่งขันต่างๆ เราเรียกสภาพแบบนี้ว่า สภาพของการถูกครอบงำทางความคิดและจิตใจ ให้ใฝ่ในความเป็นทาสระบบ (การสื่อสารเพื่อกระตุ้นว่า “มีมากมีน้อยกว่า” “รวยกว่าจนกว่า” คนอื่นๆ ก็สามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างทาสได้เช่นกัน)
ก็เพราะว่าความจริงนั้น ระบบเศรษฐกิจมันก็เป็นเพียงแค่ แชร์ลูกโซ่ ความรวยความจน ความมีมากมีน้อย ความโลภหรือไม่โลภ ความมักมากความมักน้อย หรือความอะไรก็แล้วแต่ ที่มันเป็นเพียงแค่เกมส์การสร้างทาสที่อยู่ในแชร์ลูกโซ่แต่ละยุควงแชร์ หรือแม้กระทั้งความถูกความผิด ความดีความชั่ว ในประเพณีและค่านิยมของแต่ละยุคสมัยวงแชร์ มันก็ไม่เหมือนกันและเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระโดยสิ้นเชิง นั้นหละครับก็เพราะมันไม่แน่นอนมันมีแต่เรื่องไร้สาระ สิ่งต่างๆที่อยู่ในเกมส์พวกนี้มันก็เลยเป็นที่พึ่งให้ใครไม่ได้จริงๆ
ส่วนสิ่งที่สามารถเป็นสาระและที่พึ่งให้ได้ตลอดจริงๆ ก็คือความสบายนั้นหละครับ จะสบายได้ก็ต้อง มองให้กว้าง มองให้ไกล มองให้ออก นั้นหละครับ ว่าระบบเศรษฐกิจมันก็เป็นเพียง แชร์ลูกโซ่ และสิ่งที่อยู่ในแชร์ลูกโซ่ มันก็เป็นเพียงแค่เกมส์ที่มีวันสิ้นสุดลง สิ่งที่อยู่ในเกมส์ก็ล้วนแต่มีแต่ความมีแน่นอน เพราะตัวแชร์ลูกโซ่เองมันก็ไม่แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าสิ่งที่อยู่ในแชร์จะเป็นของแน่นอนยึดถือเป็นที่พึ่งได้นั้นก็จะแปลกมาก
แน่นอนว่าทุกคนชอบความสุขและความสบาย แต่การที่จะมองเห็นว่าความสุขและความสบายจริงๆ คืออะไร นั้นก็เป็นเรื่องที่ออกจากการครอบงำได้ยากพอสมควร ถ้าอยากเห็น คุณก็ต้องหาความรู้ และมองให้ออกมองให้เห็นเป็นเบื้องต้นก่อนว่า ระบบเศรษฐกิจมันก็เป็นเพียงแค่ แชร์ลูกโซ่ เมื่อมองเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจมันก็เป็นเพียง แชร์ลูกโซ่ แล้ว สิ่งที่คุณจะเห็นต่อไปก็คือ ความรวยความจน ความมีมากมีน้อย มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระที่คนโง่เขลาใช้อวดและอวยกันเท่านั้น
แม้กระทั้งการข่มขู่คุกคาม หรือการสาปแช่ง ก็คือการอวดชนิดหนึ่ง หมายถึงว่าเป็นการอวดว่าตนมีพลังอำนาจมากกว่าคนอื่นนั้นเอง นี้ก็ไร้สาระสิ้นดี เป็นการจุดไฟเผาใจตนเองซะเปล่าๆ (ยกเว้นจะเป็นเพียงการระบายออกเพื่อที่จะลืม)
การสาปแช่ง ผู้คนฉลาดมักจะทำไปเพื่อการระบายออก เพื่อที่จะลืมเท่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยครั้งนัก
ผู้คนที่โง่เขลา มักจะกำหนัดยินดียินร้าย กระทำไปเพื่อเผาใจตัวเองอยู่ร่ำไร (เสียเวลา เพ้อเจ้อ สอพลอ ส่อเสียด ใจต่ำ ใจทราม กักขฬะ ดักดาน เดรัจฉาน ต่ำตม ไม่เป็นเหตุแห่งความเจริญ โง่บัดซบ ระยำ ต่ำช้า สารเลว งี่เง่า งมงาย ปัญญาอ่อน สมองน้อย ไร้ค่า ไร้ราคา ไร้สาระ ไร้ประโยชน์ ไม่น่าเชื่อถือ ส้นตีน สุนัขไม่มีแมวปน กระบือไม่มีวัวปน สมควรอยู่ให้ห่างๆ)
ความจัญไรทั้งหลาย เริ่มต้นที่โง่ด้วยการหลงพาตนอวด เมื่ออวดแล้ว ไม่มีการยอมรับจากคนอื่น ก็จะเกิดอาการพาลคนอื่น เที่ยวหาเรื่องสาบแช่งและเบียดเบียนเขาอยู่ร่ำไป เมื่ออวดแล้ว เจอคนอวดแข่งกัน ก็จะเกิดการพาลกัน เที่ยวหาเรื่องสาบแช่งและเบียดเบียนกันอยู่ร่ำไป ความจัญไรของการอวดจึงถึงได้ว่าเป็นความโง่เขลา เป็นเหตุแห่งการเริ่มต้นของวัฎจักรวงจรอุบาททั้งปวง "ไม่อวด ไม่โง่ ไม่จัญไร ไม่อุบาท" สบายดี
ส่วนคนฉลาด นั้น จะจนหรือรวย จะมีหรือไม่มี ในสภาพอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดเขาก็ไม่อวดใครและไม่อวยใคร เพราะเขาชอบอยู่แบบสบายและปกติสุข (ทั้งภายนอกและภายใน)
(แต่ถ้าคนฉลาดเขาจะหมั่นใส้และต้องการให้บทเรียนกับคนโง่ที่ชอบอวดใส่เขา ยอมเปลืองตัวลงมาเล่นเกมส์ด้วยสักพักก็เป็นอีกเรื่องนึง แต่ถึงเขาจะยอมเปลืองตัวลงมาเล่นเกมส์ด้วย เขาก็ลงมาไม่นานหรอกครับ เพราะสำหรับคนฉลาด เรื่องเกมส์พวกนี้มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ เล่นด้วยแปบเดียว เขาก็ดึงอารมณ์ความรู้สึกออก ขึ้นไปเสวยสุขอยู่เหมือนเดิมแล้วหละครับ)
ก็นั้นหละครับ อย่าคิดว่าผู้มีปัญญาผู้รู้จริง เขาจะยอมก้มหัวให้คนโง่ หรือก้าวล่วงใครเพื่อยอมจมอยู่กับเรื่องไร้สาระในเวลานานๆ ...ไม่มีทาง... ถ้าไม่จำเป็นจริง เราจะไม่ได้ยินคำอวดหรือคำอวยใคร ออกจากปากผู้มีปัญญา (พูดง่ายๆก็คือ ถ้าเขาดูแล้วว่า คนที่สนทนาด้วยนั้นมีความหลงมาก ยากที่จะเข้าใจความจริง บางครั้งก็จำเป็นต้องอวดต้องอวยเพื่อกระตุ้นการสื่อสารบ้างเฉยๆ ถ้าไม่จำเป็นจริงก็จะไม่ทำ เพราะมันเป็นการเปลืองตัว)
การรักความสบายและปกติสุข มากกว่า ความทะเยอทะยานอยากในสิ่งที่ไร้สาระ นั้นเป็นเรื่องดี
หากรักความปกติสุขและความสบายจริงๆ ก็ต้องหาความรู้ให้ฉลาดพอและเพื่อมองให้ออกว่า ระบบเศรษฐกิจมันก็เป็นเพียง แชร์ลูกโซ่ ที่อายุยืนกว่า แชร์ลูกโซ่ แบบอื่นๆเฉยๆ
ส่วนใครที่ยังชื่นชอบหลงไหลในความโง่เขลาของตนเองและคณะอยู่
ก็ขออาราธนานิมนต์เรียนเชิญพากันโง่กันต่อไป..ก็แล้วกันนะครับ
รู้จักกันบ้างไหม ว่าอะไรคือ "ปรัชญาที่เหนือกว่าตรรกะ" รู้จักกันบ้างไหม ว่าอะไรคือ "การมีชีวิตที่มีชีวา"
ใครชอบความโง่ก็ขอเชิญชื่นชมกับความโง่กันต่อไป ใครชอบความสุขสบายก็ขอให้เพียรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมกันนะครับ
ปล. ระหว่างการสิ้นสุดลงของแชร์ลูกโซ่ระบบเศรษฐกิจยุคเก่า และการเริ่มต้นของของแชร์ลูกโซ่ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ เราเรียกมันว่า "กลียุค" ทุกอย่างจะยังคงวนเวียนและเหมือนเดิม แค่ความใหม่ก็คือ มีท้าวแชร์ขึ้นมาใหม่แทนเจ้าเก่า เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ และไปเรื่อยๆ (เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไปเรื่อยๆ)
กลียุค
ยุคศิวิไลซ์

ความรู้ด้านธรรมะและการเงิน มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์ตนเองและผู้อื่น ที่สำคัญ..ไม่ได้มีเอาไว้อวดอ้างว่าตนเองรู้มากหรือวิเศษกว่าใคร
พวกที่ชอบสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมด้วยการ "อวดตัวเอง แล้วข่มคนอื่น" มันไม่ใช่วิถีของคนฉลาดเลย แต่มันคือวิถีของคนที่มีปมด้อยต่างหาก อารมณ์เดรัจฉาน สันดานหมาจอก (หมาจอก แปลว่า หมา + กระจอก)
อย่าตามใจความโง่ เผลอเลอหลงตัวเอง จนกลายเป็นคนมักอวดมักอ้าง มันจะทำให้เดือดร้อนไม่มีวันสิ้นสุด
"ไม่อวด ไม่โง่ ไม่จัญไร ไม่อุบาท" สบายดี
วาติกัน ซิตี้ออฟลอนดอน และวอชิงตัน