เราเข้าใจกันว่า QE (Quantitative Easing) จะทำให้ “เงินเฟ้อ” สูง … จริงหรือ? กระตุ้น “อัดฉีด” เงินเข้าระบบเยอะๆ แถมกด “ดอกเบี้ย” ให้ต่ำๆนานๆ “สภาพคล่อง” ก็ไหลลื่นขึ้น มิใช่หรือ? ลองดูภาพต่อไปนี้นะครับท่าน (มันอาจดูยากหน่อย งั้นช่างมันเถอะ อ่านที่ผมพล่ามแทนละกัน!) . 1. เอาเข้าจริง มันฉุดเงินเฟ้อขึ้นชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเองครับท่าน แต่ในภาพใหญ่ๆยาวๆกลับดึงไม่ขึ้น --- เทรนด์เป็น “ขาลง” ด้วยซ้ำ อ้าว!? (ในอดีต จัดว่ามีผลพอตัวทีเดียว แต่หลังคริสต์ทศวรรษที่ 1980s เป็นต้นมา ดันไม่กระทบนัก)
แปลว่าอะไร? แปลหยาบๆที่สุด คือ ไม่ว่าจะยัดเงินท่วมระบบเท่าไหร่ แต่ข้าวของดันไม่แพงขึ้นนัก นั่นคือสรุปได้ว่า เศรษฐกิจไม่กระเตื้องขึ้นเพราะแรงส่งของ QE เลย! . (หมายเหตุ เอ๊ะ ข้าวของไม่แพงขึ้นก็ดีสิ … ไม่ใช่นะครับท่าน! การที่ข้าวของแพงขึ้นได้ (เมื่อเวลาเดินไปข้างหน้า) เป็นเพราะเรามีกะตังค์เพิ่มขึ้น จับจ่ายใช้สอยกันเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าย่อมสูงขึ้น --- สะท้อนว่าเศรษฐกิจขยายตัว
ถ้าเวลาผ่านไปๆ แล้วราคาไม่ขยับ แสดงว่ากระเป๋าเราไม่พองขึ้นเลยน่ะสิ ซึ่งถ้าข้าวของไม่แพงขึ้น พ่อค้าแม่ขาย โรงงานผลิตไม่รวยขึ้น ลูกจ้างอย่างเราจะได้ขึ้นเงินเดือนมั้ย!) . 2. ปล่อยกู้มากขึ้น (ผลจาก QE และดอกต่ำ) ปรากฏว่า GDP ก็ไม่ได้งอกขึ้นหวือหวาอะไรเลย แต่กลายเป็นว่า “สินทรัพย์” ครับท่าน ที่ราคาชะลูดปรู๊ดปร๊าดสัมพันธ์กันแจ่มชัด!
สินทรัพย์ในที่นี้ ก็คือ อสังหาริมทรัพย์ และหลักทรัพย์ --- ภาษาชาวบ้าน ก็คือ บ้าน กับ หุ้น นั่นแหละ!! แล้วถามหน่อยเถอะ ใครกันที่จะครอบครองไอ้ “สินทรัพย์” นี่มากมาย … ใช่คนเดินดินกินข้าวแกงที่คุณเดินสวนหน้าปากซอยมั้ย? (บ้านก็ขึ้นกับทำเล หุ้นก็ขึ้นกับตัวไหนด้วย … แล้วก็ขึ้นกับเดิมคุณมีมากแค่ไหนด้วย)
รู้แล้วใช่ไหม ใครกันที่ได้ “ประโยชน์” จาก QE … . 3. เศรษฐกิจฐานราก หรือจะลำต้น หรือต่อให้ดอกใบก็ไม่ได้อานิสงส์จากปุ๋ย QE นักหรอก ที่ได้ คือ “ปลายยอด” หนี้ในอเมริกาที่พอกขึ้น (รวมหมด ทั้งหนี้สาธารณะ (รัฐบาลก่อ - ถือเป็นของทั้งชาติ) / หนี้ครัวเรือน (ประชาชนก่อเองจ้ะ - ตัวใครตัวมัน) / หนี้ภาคเอกชน) มันสัมพันธ์กันกับ “ความมั่งคั่ง” ของคน 1% ที่รวยที่สุดของประเทศ
ยิ่งชาวบ้านหนี้หัวโตขึ้น คนพวกนี้ดันยิ่งมั่งคั่งขึ้น … ยิ่งหุ้นกระฉูดขึ้น คนพวกนี้ก็ยิ่งมั่งมีขึ้น … . ดังที่เมียคนแรกของพระเอกในหนัง “The Wolf of Wall Street” กล่าวตัดพ้อต่อว่า “ทำไมคุณมาหลอกพวกหาเช้ากินค่ำให้ซื้อหุ้นกระจอก? ช่างซ่อมก๊อกน้ำ เสมียนบัญชีเนี่ยนะ! ทำได้ลงคอ! คุณไปต้มคนรวยสิ พวก 1% ยอดสุดของประเทศนั่นไง พวกนี้เงินเยอะแยะ ต่อให้เสียไปก็ไม่กระเทือนหรอก ขนหน้าแข้งไม่กระดิก!”
พระเอกตอบกลับไปว่า “ก็ไอ้คนรวยพวกนั้นมันฉลาดรอบรู้ เขี้ยวลากดิน มันหลอกยากน่ะสิ!” (แต่ตอนหลัง พระเอกก็ไปหลอกได้อยู่ดี!)
บทสนทนานี้มันสรุปภาพได้ดีนะครับท่าน คนจนน่ะไม่รู้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้ตัวเองจนลง คนรวยๆกลับรู้วิธีจะทำให้ตัวเองรวยยิ่งขึ้นๆ . 4. ทีนี้ กลับมาดู “สินทรัพย์” ให้แจ้ง เวลานี้ ยังน่า “ลงทุน” อีกมั้ย … ถ้าเข้าตอนนี้ มันแพงไปแล้วหรือเปล่า … ทันไม่ทัน เอาเข้าจริง ราคาที่มองว่าแพง (จะหุ้น หรือ ทอง) แต่ถ้าลองเทียบกับปริมาณเงินที่ไหลเวียนในระบบจริงๆ (อาจถือคร่าวๆเป็น “สภาพคล่อง”) กลับนับว่ายัง “ถูก” เหลือหลายนะครับท่าน
แบบนี้ แปลว่าอะไร? ไม่กล้าแปลเลยครับท่าน … มันค่อนข้าง “สองแง่สองงาม” ออกจะล่อแหลม --- เดี๋ยวจะเหมือนกลายเป็นชี้นำไปสักทางได้ ดังนั้น แฮ่ๆ เชิญ “ตีความ” จากภาพกันเองตามสะดวกดีกว่าจ้ะ
แต่ถ้าสนใจลงทุน โทร 0869951699 ได้! เฮ้ย ล้อเล่นนะครับท่าน อย่าโทรไปเด็ดขาด! ซี้ซั้วเขียนเลขขึ้นมาส่งๆ เดี๋ยวโดนปลายสายด่าเอาได้!
อ้างอิง: Citi Research: Investing under the Money Tree – Not Quite Magic, But Watch Out for the Tricks, 7 September 2020




ที่มา: เดือดทะลักจุดแตก